วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

10 อันดับ สิ่งสกปรกที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน


หากนึกถึงสิ่งสกปรกรอบๆตัว หลายคนคงชี้ไปยังห้องน้ำ หรือไม่ก็ลูกบิดที่แสนจะไกลตัวซะเหลือเกิน แต่ที่แท้จริงแล้วมันใกล้มากกว่านั้น หรืออาจเป็นเพราะมันแนบชิดสนิทติดตัวซะจนเรามองข้ามมันไป มาดูกันว่า "รายงาน 10 อันดับสิ่งสกปรกที่ถูกใช้บ่อยมากที่สุด" นั้นมีอะไรบ้าง

10. ฟองน้ำล้างจาน

ด้วยวัสดุและรูป ลักษณ์ของมันที่เต็มไปด้วยรูพรุนที่สามารถใหน้ำ อากาศ ออกซิเจน เศษอาหารเข้าไปอาศัยอยู่ จึงเป็นแหล่งชุมชนแออัดของเหล่าเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี วิธีทำความสะอาดง่ายๆก็คือ เอาไปต้มหรือให้ความร้อนผ่านไมโครเวฟซัก 60 วินาที


9. ซิ้งค์อ่างล้างจาน

เห็นสะอาดอย่างนี้ก็ใช่ ว่าจะสะอาด ถึงจะไม่ได้ใช้บ่อยเท่าอย่างอื่น แต่มันเป็นบริเวณที่สกปรกที่สุดในบ้าน ซึ่งแต่ละตารางนิ้วนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 500,000 ตัว วิธีทำความสะอาดขจัดคราบที่คู่ควรกับตัวเลขห้าแสนนี้ ก็คือ ใช้โซดาไฟหรือน้ำส้มสายชูราดทำความสะอาดมันซะ แล้วตามด้วยน้ำเปล่าตามไปอีกที


8. อ่างอาบน้ำ

อ่างอาบน้ำเป็นรังเพาะเชื้อโรคชั้นดีที่หลายคนมองข้ามไป รู้อย่างนั้นแล้วเราจึงควรทำความสะอาดมันสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย

7. รีโมททีวี

อุปกรณ์บันเทิงประจำ ครัวเรือนที่เรามักจะลืมทำความสะอาดมัน ทั้งๆ ที่เราออกจะหยิบสอยใช้มันออกจะบ่อย ทำความสะอาดบ้านครั้งหน้าก็อย่าลืมหยิบรีโมทไปเช็ดถูกันบ้างนะ

6. ตะกร้าช้อปปิ้ง

ห้างสรรพสินค้ามีทุกสิ่ง ให้คุณเลือกสรร ฉันใดก็ฉันนั้น ตะกร้าช้อปปิ้งในห้างก็มีทุกสิ่งให้เชื้อโรคเลือกที่จะอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะมาจากสินค้าที่อยู่ในห้างเอง เช่น ของสด ของแห้ง สารเคมี หรือมาจากมือของท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ที่พึ่งจับราวบันไดเลื่อน หรือพึ่งออกมาจากห้องน้ำห้างมา

5. ฝาที่นั่งชักโครก

ความจริงมันน่าจะสกปรก ได้มากกว่านี้รึเปล่า แต่รู้หรือไม่ว่าฝาที่นั่งชักโครกนั้นมีการออกแบบวัสดุและพื้นผิว ให้ง่ายต่อการทำความสะอาดและยากที่เชื้อโรคจะอาศัยอยู่ แถมเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ ในการทำความสะอาดอยู่เสมอ (ไม่เอื้ออำนวยขนาดนั้นก็ยังติด 1 ใน 10) โดยรายงานระบุว่า ทุกตารางนิ้วบนฝานั่งชักโครกมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 295 ตัว


4. โทรศัพท์มือถือ

โทรศัพท์มือถือ เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ราคาแพงสำหรับเชื้อโรคเลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นพื้นที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมไปด้วยปัจจัยความเจริญของเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิอุ่นๆ เหมือนร่างกายมนุษย์ที่เชื้อโรคชอบ พร้อมซอกซอยร่องหลืบง่ายต่อการกบดานหลบหนี พร้อมพรั่งด้วยโภชนาการและอาหารจากน้ำลายและขี้ไคลมนุษย์ ถ้าโทรศัพท์มีชีวิตเราอาจต้องพามันไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดยาแทนที่จะไปมาบุญ ครองเพื่อไปซ่อมมันก็เป็นได้

3. คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์

คนติดคอม ติดเนทหลายๆคน คงคุ้นชินกับพฤติกรรมการกินขนมขบเคี้ยว หรือแม้กระทั่งกินอาหารมื้อหลักหน้าจอคอมพ์ หรือแม้กระทั่งสาวๆเองที่ชอบหวีผมแต่งหน้าบนโต๊ะทำงาน เวลาว่างก็เม้าท์พ่นไฟแชทหน้าเวบแคม รู้หรือไม่ ว่าคีย์บอร์ดนั้นเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี โดยเฉพาะเศษอาหาร ผิวหนัง เหงื่อไคลต่างๆ ที่ผู้ใช้คอมทำตกลงไปในคีย์บอร์ดแล้วไม่ค่อยให้ความสนใจ เนื่องจากเพราะมันตกลงไปในร่อง ทำให้ยากต่อการมองเห็นว่าสกปรกและยากต่อการทำความสะอาด เป็นที่มาว่าทำไมจึงไม่มีใครสนใจ จะทำความสะอาดกันเท่าไหร่นัก จึงทำให้คีย์บอร์ดกลายเป็นแหล่งหมักหมมเพาะพันธุ์เชื้อโรคชั้นดี รายงานระบุว่าคีย์บอร์ดที่ได้รับการสำรวจนั้นสกปรกกว่าฝานั่งชักโครกถึง 40 เท่า แต่ถึงขนาดต้องใช้วิกซอลเข้มข้น 40 เท่าราดคีย์บอร์ดเพื่อทำความสะอาดด้วยรึเปล่ารายงานไม่ได้ระบุไว้

2. สวิตช์เปิด/ปิดไฟ

"สุขภาพวันนี้...ต้อง เล่นกับไฟ" วัตถุที่มนุษย์สัมผัสบ่อยมากเท่าไหร่ เชื้อโรคก็ชอบตามไปอยู่มากเท่านั้น โดยเฉพาะปุ่มสวิทปิดเปิดไฟที่ต้องกดกันอยู่ทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญเผยทุกๆ ตารางนิ้วบนสวิตช์ไฟที่เราเอานิ้วไปโดน เชื้อโรคสามารถย้ายสำมโนครัวตามติดมือไปได้ถึง 217 ตัว



1. เงิน ได้แก่ ธนบัตร เหรียญ

แบงค์ที่ เราหยิบจ่ายซื้อของกันอยู่ทุกวันนี้ มีเชื้อโรคอยู่ประมาณ 135,000 ตัว ถึงจะเชื่อว่าใครๆก็อยากมีเงินเยอะๆ จะได้รวยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องสะสมเชื้อโรคไปตามความรวยด้วยนะ

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Brinicle ปรากฎการณ์นิ้วน้ำแข็ง อัศจรรย์ธรรมชาติหาดูยาก


ปรากฎการณ์ Brinicle หรืออาจจะเรียกว่า ปรากฎการณ์นิ้วน้ำแข็ง ( Ice Finger ) เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ สุดอัศจรรย์ที่หาดูได้ยากมากๆ เกิดขึ้นที่ทวีป แอนตาร์กติกา มีลักษณะเป็น น้ำแข็งย้อยลงมาจาก ธารน้ำแข็ง คล้ายนิ้วมือ จนถึงก้นทะเล แถมยังมีความเย็นสูงมากๆ ขนาดที่สามารถฆ่าชีวิตทุกชีวิตที่มันเดินทางผ่านไปได้หมดเลย ปรากฎการณ์นี้หาดูได้ยากมากๆ เพราะยากในการเข้าไปถ่ายทำ แต่ตอนนี้ทางช่อง BBC ก็สามารถไปเอาภาพปรากฎการณ์นิ้วน้ำแข็งนี้มาให้ดูได้แล้วครับ ลองไปดูกันดีกว่า ที่นี่เลยจ้า



ยักษ์ครองโลก


นักโบราณคดีขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ขนาดใหญ่โต มโหฬารในสถานที่หลายแห่งทั่วโลก เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ว่าครั้งหนึ่งในอดีตเคยมียักษ์อยู่บนโลกจริง



เมื่อ 6 ปีก่อน หนังสือพิมพ์นิวเนชั่น (New Nation) ของประเทศบังกลาเทศ รายงานข่าวการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ขนาดใหญ่กลางทะเลทรายบริเวณภาคตะวันออก เฉียงใต้ของประเทศซาอุดีอาระเบีย

เจ้าหน้าที่ฝ่ายสำรวจน้ำมันของบริษั ทอรามโค (ARAMCO) พบโครงกระดูกมนุษย์ยักษ์โดยบังเอิญ มันเป็นโครงกระดูกของมนุษย์ที่มีความสูงกว่า 10 เมตร สามารถถอนรากถอนโคนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ได้ด้วยมือข้างเดียว



การค้นพบครั้งนี้ยืนยันตำนานการสู้รบระหว่างชนเผ่าฮูด (Hood) และชนเผ่าแอด (Add) ที่มีรูปร่างใหญ่โตผิดมนุษย์มนา ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์กุรอานของชาวอิสลาม และโครงกระดูกที่พบก็คือโครงกระดูกของชนเผ่าแอดนั่นเอง

กองทัพซาอุดีอาระเบียนำเฮลิคอปเตอร์มาขนย้ายโครงกระดูกยักษ์ไปเก็บรักษาในที่ปลอดภัยและ สั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบเป็นความลับ แต่ภาพถ่ายทางอากาศที่ทหารคนหนึ่งได้บันทึกเอาไว้ระหว่างการขนย้ายเกิดหลุด รอดออกสู่สายตาประชาชน จนกลายเป็นเรื่องที่ฮือฮากันอยู่พักหนึ่ง

เรื่องราวทั้งหมดเงียบหายไปกับกาลเวลาจนกระทั่งในปี 2007 มีการค้นพบโครงกระดูกยักษ์อีกแห่งในประเทศอินเดีย โดยทีมงานของนักสำรวจเนชั่นแนลจีโอกราฟิค ประจำอินเดีย กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ตอกย้ำว่าครั้งหนึ่งในอดีตเคยมียักษ์เพ่นพ่านอยู่บน โลกมนุษย์



ก่อนที่เรื่องราวจะถูกลืมเลือนหายไปจากความทรงจำ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีคนขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมา รวบรวมเรื่องราวทำเป็นจดหมายเวียนส่งต่อๆกันไปตามฟอร์เวิร์ดเมล์ ทำให้ข่าวการพบมนุษย์ยักษ์กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง

เรื่องเล่านบี ฮูด

นบีฮูดเป็นหนึ่งในศาสดาอิสลาม ท่านได้บันทึกเรื่องราวของชาวเผ่าแอดเอาไว้เมื่อราว 4,400 ปีก่อน โดยกล่าวว่า ชาวเผ่าแอดอาศัยอยู่บนเทือกเขาบริเวณพรมแดนเยเมนและโอมาน เป็นชนเผ่าที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ชำนาญงานก่อสร้าง โดยเฉพาะสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่เช่นหอคอยสูง

ความรู้และความสามารถ เหนือชนเผ่าอื่นๆ ประกอบกับมีสรีระที่ใหญ่โตทำให้ชาวเผ่าแอดไม่เกรงกลัวผู้ใด ปฏิเสธที่จะนับถือพระอัลเลาะห์ นบีฮูดจึงพยายามโน้มน้าวจิตใจชาวเผ่าแอดให้หันมากราบไหว้ เคารพบูชาพระอัลเลาะห์

นบีฮูดขอให้ชาวแอดขอขมาต่อพระอัลเลาะห์ที่พวก เขาละเลยเพิกเฉยต่อพระองค์ แล้วพระองค์จะประทานความอุดมสมบูรณ์และพละกำลังความเข้มแข็งให้กับชาวแอด

ความพยายามของนบีฮูดไร้ผล ชาวเผ่าแอดคิดว่านบีฮูดมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงและต้องการขึ้นครองเป็นผู้นำ ชนเผ่าเสียเอง นบดีฮูดจึงเตือนชาวแอดเป็นครั้งสุดท้ายว่าหากขืนดื้อรั้นไม่กลับตัวกลับใจมา นับถือพระอัลเลาะห์ พระองค์จะส่งชนเผ่าที่มีความสามารถมากกว่าชาวแอดลงมาปราบพวกท่าน

นบี ฮูดยังได้ยกเรื่องของโนอาห์มาเป็นอุทาหรณ์ เตือนถึงความสามารถของพระอัลเลาะห์ว่าทรงดลบันดาลให้เกิดสิ่งใดได้บ้าง ผู้ที่ศรัทธาเชื่อมั่นในพระองค์เท่านั้นที่จะรอดปลอดภัยจากภัยพิบัติ ผู้เสียชีวิตจะถูกชุบให้ฟื้นกลับคืนสู่โลกที่สวยสะอาดกว่าแต่ก่อน

ยึดมั่นในเทพเจ้า

แทนที่จะเกิดความเกรงกลัว ชาวแอดกลับหัวเราะอย่างตลกขบขัน พวกเขาเป็นชนเผ่าที่มั่งคั่งและเข้มแข็งที่สุดในโลก ไม่มีใครสามารถทำอะไรพวกเขาได้ อีกทั้งการฟื้นคืนจากความตายเป็นเรื่องไร้สาระ ตายแล้วก็ถูกฝังร่างกายเน่าเปื่อยเป็นเถ้าธุลีดิน

นบีฮูดกล่าวว่า บางครั้งบางเวลาความชั่วร้ายก็มีอำนาจเหนือคุณธรรม โลกถูกครอบงำด้วยความเชื่อที่ผิดๆ ถ้าหากมนุษย์ยังคงลุ่มหลงอยู่ในอวิชชา อีกไม่นานพวกเขาก็จะพบกับหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อถึงวันนั้นจะมีแต่เพียงธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยค้ำยันกอบกู้โลก พระอัลเลาะห์ไม่ได้ตัดสินว่าใครสมควรจะปลอดภัย ใครควรจะประสบหายนะ หากแต่มันเกิดจากผลการกระทำของบุคคลนั้นๆเมื่อวันพิพากษาโลกมาถึง

ชาวแอดมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย พวกเชาเชื่อว่าไม่มีสถานที่ใดๆบนโลกนี้หรือโลกไหนๆที่จะสมบูรณ์ไปกว่าโลกที่ เขาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน คำมั่นสัญญาของนบีฮูดเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันที่จับต้องไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้นำสารจากพระอัลเลาะห์เป็นชนชาวแอดเหมือนกัน

นบี ฮูดพยายามโน้มน้าวชาวแอดอยู่หลายปี แต่เมื่อหัวหน้าชนเผ่าแอดยังคงดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง คนที่เหลือก็พลอยไม่เชื่อตามไปด้วย คงเหลือคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หันมาเคารพบูชาพระอัลเลาะห์ในขณะที่คน ส่วนใหญ่ยังคงกราบไหว้เทพเจ้าตามความเชื่อของชาวแอ

ฮือฮา! นักวิทย์ฯ พบทะเลสาบน้ำเค็มบนดวงจันทร์ ของดาวพฤหัส



ฮือฮา! นักวิทย์ฯ พบทะเลสาบน้ำเค็มบนดวงจันทร์ ของดาวพฤหัส

Mthainews: สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวานนี้ว่า มีการค้นพบทะเลสายน้ำเค็ม บน“ยูโรปา” ดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของดาวพฤหัสฯ

ซึ่งนักวิทยาศาตร์ระบุว่า พื้นที่แห่งนี้อาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่ใช่เพียงแค่โลกของเราเท่านั้น ซึ่งภายหลังที่มีการค้นพบ องค์การการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) จึงพิจารณาจัดส่งปฏิบัติการสำรวจการค้นพบทะเลสาบน้ำเค็มด้วย



ทั้งนี้ ทะเลสาบน้ำเค็มที่ถูกค้นพบบนดวงจันทร์ยูโรปา อาจมีขนาดเท่ากับทะเลสาบเกรทเลกส์ในอเมริกาเหนือ โดยมีผลึกน้ำแข็งปกคลุม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างชี้ว่า นี่เป็นหลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่เราจะสามารถพิสูจน์ว่า สิ่งมีชีวิตนอกโลกมีอยู่จริง

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางส่วนก็มองว่า สภาพภูมิประเทศที่เป็นน้ำแข็งที่หนา และเยือกเย็น อาจจะเป็นอุปสรรคต่อสิ่งมีชีวิตที่อาจจะไม่สามารถอาศัยอยู่ได้

EUROPA LAKE: Nasa 'discovers' liquid water on Jupiter moon - YouTube




Credit :  EUROPA LAKE: Nasa 'discovers' liquid water on Jupiter moon - YouTube

NASA ออกวิดีโอให้ความรู้เรื่องการไปดาวอังคารความยาว 1 นาที


ช่วงนี้ดาวอังคารดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายที่หลายๆ ประเทศให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่สหภาพยุโรปจัดโครงการ Mars-500 เพื่อทดสอบความพร้อมด้านจิตใจของนักบินอวกาศมาแล้ว
รอบนี้ NASA ขอมีส่วนบ้าง ออกวิดีโอให้ความรู้การเดินทางไปดาวอังคารฉบับย่อ ความยาวของวิดีโอก็อยู่ที่ 1 นาทีพอดีเป๊ะ และใช้ภาษาง่ายๆ พร้อมตัวอย่างที่ไม่ว่าใครก็เข้าใจได้ครับ 
หลักใหญ่ใจความที่ NASA เน้นเอาไว้มี 3 เรื่อง คือ
  1. จรวด ยิ่งยานมีขนาดใหญ่ ก็ยิ่งต้องใช้จรวจขนาดใหญ่ขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ส่วนตัวคิดว่าอาจต้องได้ขนกันมากกว่า 1 รอบ แล้วเอาไปประกอบในอวกาศเหมือน ISS
  2. จังหวะ เนื่องจากโลกและดาวอังคารต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้บางจังหวะดาวอังคารจะอยู่ห่างจากโลกมาก ประมาณว่าทุก 2 ปี โลกกับดาวอังคารจึงจะอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการปล่อยยานอวกาศ
  3. มุม ไม่ใช่ว่าเราจะยิงยานอวกาศไปตรงๆ ได้ ต้องยิงดักหน้าเหมือนที่นักฟุตบอลจ่ายบอลไปยังที่ว่างให้เพื่อนร่วมทีมวิ่งไปเก็บ ในกรณีของจรวดก็ต้องคำนวณหักลบกับแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ด้วย
เวลาที่ใช้ในการเดินทางไปเที่ยวเดียวอยู่ที่ประมาณ 7-8 เดือนครับ

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เก้าอี้หลอน ๆ Ghost Chairs


 เก้าอี้หลอน ๆ Ghost Chairs

รูปทรงที่แปลกๆ พื้นผิวโค้งที่โปร่งแสง ถูกนำมาออกแบบ และสร้างสรรค์โดย  Valentina Glez Wolhers กลายมาเป็นเก้าอี้รูปทรงคล้ายๆ ผีน้อย
เก้าอี้ตัวนี้สร้างจากแผ่นพลาสติก ที่นำมาหลอมแล้วขึ้นรูปใหม่ ทำให้ได้รูปทรงที่มีแค่หนึ่งเดียวในโลก

ไปตั้งไว้ในห้องมืดๆ ก็หลอนได้เหมือนกันนะเนี่ย


 


นั่งสบายเหมือนไม่ได้นั่งบนอะไรเลย
 



Credit :  http://www.me-dzine.com/

พูดจาภาษาหมา

15 เมืองรถติดมหาโหดที่สุดในโลก


 



ปรากฏการณ์ "รถติด" เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมานับสิบปี และนับวันจะเป็นที่คุ้นเคยของคนเมืองเป็นอย่างดี เมื่อจำนวนรถมีมากกว่าถนน เมื่อวางผังเมืองไม่เหมาะสม เมื่อผู้คนไร้ระเบียบวินัย ฯลฯ หลายอย่างทำให้ถนนกลายเป็นที่จอดรถดีๆ นี่เอง


นิตยสาร travel+leisure ได้รวบรวมข้อมูลจากสถาบันการจราจรแห่งเท็กซัส, บริษัท IBM ผู้ให้บริการด้านสารสนเทศ, บริษัท TOMTOM ผู้ผลิตเครื่องจีพีเอส และINRIX องค์กรผู้ให้บริการข้อมูลด้านการจราจร โดยใช้ตัวชี้วัดหลายอย่าง ทั้งระยะเวลาการเดินทาง การเฝ้าติดตามบริเวณถนนคอขวด และความรู้สึกของผู้ขับขี่ จนได้ 15 เมืองที่รถติดที่สุดในโลกมา หลายเมืองเราอาจคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่อีกหลายเมืองเช่นกันที่ติดอันดับอย่างน่าประหลาดใจ


ทั้งหมดนี้ไม่เพียงบ่งบอกว่าเมืองไหนกำลังถูกบุกด้วยรถยนต์ แต่ยังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราเอาเวลาและเชื้อเพลิงไปผลาญกลางท้องถนนกันมาก มายขนาดไหนแต่ละปี


1. เม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโก เม็กซิโกซิตี้เป็นเมืองฮอตฮิตตั้งแต่งานกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1968 ในเวลาเพียง 4 ทศวรรษประชากรในเมืองก็เพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านเป็น 22 ล้านคน ตัวเมืองมีภูมิประเทศคล้ายคลึงกับแอลเอ คือตั้งอยู่ในหุบเขาและมีระบบถนนที่ซับซ้อน ทำให้ทั้งสองเมืองนี้มีปัญหามลพิษและการจราจรคล้ายๆ กันด้วย จากการสำรวจโดย IBM (สอบถามประชาชน 8,192 คนใน 20 เมืองใหญ่ทั่วโลก) ให้คะแนนเม็กซิโกซิตี้ด้านอุปสรรคการเดินทาง 99 จาก 100 คะแนน เรียกว่ากวาดคะแนนไปอย่างท่วมท้น


2. นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา หากใครได้ผ่านไปในมหานครแห่งนี้ช่วงเวลาประมาณตี 4 คุณจะได้พบกับการจราจรที่ไม่ต่างจากช่วงเวลาเร่งด่วนใจกลางเมือง และด้านนอกเมืองทางแมนฮัตตันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เพราะในบรรดาถนนคอขวดที่แย่ที่สุดในอเมริกา 5 แห่ง อยู่ในนิวยอร์กเข้าไปแล้ว 4 แห่ง


3. บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม หากคิดว่าโรมเป็นเมืองแออัดที่สุดในยุโรป ต้องขอบอกว่าผิดเสียแล้วล่ะ เพราะจากข้อมูลของบริษัท TomTom คำตอบที่ได้คือ "บรัสเซลส์" (จาก 59 เมืองในยุโรป) ประชากรราว 2 ล้านคนเดินทางเข้ามาในเมืองนี้ทุกๆ วัน ผสมกับประชากรที่อาศัยในเมืองนี้อีก 1 ล้านคน และส่วนมากมักเดินทางด้วยรถส่วนตัวมากกว่าระบบขนส่งสาธารณะ ช่วงเวลาที่ติดขัดสุดๆ คือ 7-9 โมง แล้วบ่าย 3-5 โมง ในระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งสามารถปั่นจักรยานในเวลา 20 นาที แต่ที่เมืองนี้ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในรถยนต์


4. กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เมืองกรุงเทพฯ ของเราก็ติดอันดับเช่นกัน อัตราการเป็นเจ้าของรถพุ่งแซงการเจริญเติบโตของเมือง และรถสามารถติดได้ไม่เกี่ยงเวลา โดยทั่วไป ชั่วโมงเร่งด่วนตอนบ่ายจะเริ่มที่บ่าย 3 โมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่เด็กๆ เลิกเรียนและติดต่อเนื่องถึงเวลามื้อเย็น หากวันไหนฝนตกรถยิ่งนิ่งสนิท ถนนหลายสายจะแปรสภาพเป็นคลองชั่วคราว ให้ได้ย้อนอดีตกันว่าเมืองของเราเคยได้รับฉายา "เวนิสตะวันออก" แม้ว่ากรุงเทพฯ จะมีรถไฟฟ้าช่วยแก้ปัญหาจราจรได้บ้าง (แต่ดูเหมือนนโยบาลลดภาษีรถคันแรกคงจะเพิ่มปริมาณรถบนท้องถนนให้นิ่งสนิท ยิ่งขึ้น)


5. โจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ จากข้อมูลของ IBM ผู้ใช้รถที่ตอบแบบสำรวจ 43% เห็นว่าไฟจราจรในเมืองนี้เป็นเรื่องบั่นทอนจิตใจที่สุด (ขยับได้เพียงไม่กี่เซ็นติเมตรก็หยุดอีกแล้ว) โครงสร้างเส้นทางรถไฟที่ไม่เหมาะสมและจำนวนประชากรที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น จาก 7 ล้านคนเป็น 14 ล้านคนใน 4 ปีข้างหน้า กำลังทำให้เมืองนี้กลายเป็นลานจอดรถดีๆ นี่เอง


6. มอสโก ประเทศรัสเซีย การสำรวจของ IBM พบว่าโดยทั่วไปชาวเมืองมอสโกใช้เวลาติดอยู่บนท้องถนนถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง และมากกว่า 40% ตอบว่าเคยติดอยู่บนท้องถนนมากกว่า 3 ชั่วโมง จำนวนรถต่อประชากรในเมืองหลวงของรัสเซียแห่งนี้ เพิ่มจาก 60 คัน : 1000 คนในปี 1991 เป็น 350 คัน : 1000 คนในปี 2009


7. ลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลอสแองเจลิสจะติดโผเมืองรถติดด้วย จากข้อมูลของสถาบันขนส่งเท็กซัส ระบุว่า ทุกๆ ปี ประชากรในเมืองนี้ใช้เวลาค้างเติ่งอยู่บนถนนถึง 485 ล้านชั่วโมง ใช้พลังงาน 367 ล้านแกลลอน ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 10.3 พันล้านดอลล่าร์ (กว่า 3 หมื่นล้านบาท) ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนไม่ค่อยจะใช้เวลาอยู่ที่เมืองนี้นานนัก


8. ปักกิ่ง ประเทศจีน ชาวปักกิ่งเริ่มทิ้งจักรยานและหันไปหารถยนต์กันมากขึ้น จนตอนนี้มีปริมาณรถยนต์ใหม่ถึง 1,900 คันต่อวัน ย้อนไปในปี 1997 เมื่อเมืองนี้มีรถยนต์ถึง 1 ล้านคัน บางคนคาดการณ์ว่าจำนวนรถยนต์จะเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านคันในเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ แต่ทางการก็ไม่ได้วางแผนรับมือแต่อย่างใด จนเร็วๆ นี้ถึงมีมาตรการห้ามรถบางประเภทเข้าโซนรถติดในวันทำงาน และแม้ว่าปักกิ่งยังติดอันดับต้นๆ ของเมืองรถติด แต่ผู้ตอบแบบสอบถาม 16 %ก็ยังรู้สึกว่าปัจจุบันปัญหารถติดมีทีท่าดีขึ้น


9. นิวเดลี ประเทศอินเดีย สภาพเมืองที่แผ่กระจายอย่างไร้ระเบียบยิ่งเพิ่มความแออัดของรถรา คนใช้รถในเมืองนี้ยิ่งขับรถเร็วขึ้นเมื่อผ่านแยกไฟแดง ในช่วงเวลา 50 ปีประชากรเพิ่มขึ้นถึง 50% ในทุกๆ สิบปี และไม่มีทีท่าจะลดลง จากการสำรวจของ IBM พบว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่าการจราจรย่ำแย่มากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา 65% รู้สึกเครียดเพราะไม่มีเวลาให้ครอบครัว และ 29 % บอกว่าการจราจรส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง


10. วอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ หลายคนอาจจะแปลกใจว่ามีเมืองวอร์ซออยู่ในโผรถติดด้วย แต่จากผลสำรวจของบริษัท TomTom เมืองวอร์ซอถือเป็นเมืองที่รถติดเป็นอันดับสองของยุโรป เมืองที่มีจำนวนรถ 3.5 ล้านคันติดอยู่ตามแยกต่างๆ สำนักงานต่างๆ มาตั้งอยู่ที่นี่กันมากกว่าเมืองอื่นๆ ในยุโรป และวอร์ซอก็ไม่มีทางเลี่ยงเมืองเสียด้วย


11. เซาท์เปาโล ประเทศบราซิล เมืองใหญ่แห่งนี้ถือเป็นเมืองที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 10 ของโลก แต่ด้วยสภาพเส้นทางดั่งเขาวงกต ประชากร 20 ล้านคน ยานพาหนะ 8.5 ล้านคัน การโจรกรรมรถและอาชญากรรมอื่นๆ ที่กำลังเพิ่มขึ้น จะไม่ให้ชาวเมืองนี้ไม่เครียดได้อย่างไร ผลสำรวจของ IBM ระบุว่า ผู้คนที่เดินทางในเมืองนี้ 55% รู้สึกเครียดจากผลของรถติด ซึ่งคนมีฐานะเหล่านี้ก็เลือกแก้ปัญหาโดยการ "บิน" เสียเลย ! เซาท์เปาโลเป็นหนึ่งในเมืองที่มีเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวมากเป็นอันดับต้นๆ


12. ลอนดอน ประเทศอังกฤษ สำหรับนักออกผังเมือง ลอนดอนถือเป็นความหวังในการพัฒนาเมือง แต่น่าเสียดายที่ใจกลางของเมืองยังหนาแน่นไปด้วยพาหนะต่างๆ พื้นที่รถติดยังกินที่ออกไปกว้างขึ้นและกินระยะเวลานานขึ้นด้วย จนเมื่อปี 2003 หน่วยงานแก้ปัญหาในชื่อ The London Congestion Charge ได้ถือกำเนิดขึ้นและดำเนินการคิดค่ารถติดในอัตราวันละ 8 ปอนด์หากใครนำรถเข้ามาในพื้นที่การจราจรแออัด ในชั่วโมงเร่งด่วน


13. ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา หากได้ดูสถาปัตยกรรมอันเป็นตำนานของที่นี่ อาจช่วยให้เข้าใจความวิกฤติของการจราจรในเมืองนี้ได้ หนึ่งในนั้นรวมถึงจุดคอขวดที่มีสภาพเลวร้ายเป็นอันดับสองของอเมริกา การติดสาหัสขนาดนี้ทำให้ผู้คนเสียเวลาไป 189 ชั่วโมง เสียเชื้อเพลิงไป 129 ล้านแกลลอน และสูญเสียทรัพยากรคิดเป็นมูลค่า 4.2 พันล้านดอลล่าร์ (125 ล้านบาท) อย่างไรก็ดี ถือว่าโชคยังดีที่เมืองนี้มี เดอะลูป (ถนนรอบเมือง)


14. ไคโร ประเทศอียิปต์ ไคโรอาจจะเป็นเมืองเดียวในตะวันออกกลางที่มีรถไฟใต้ดิน แต่เมืองนี้ก็มีอูฐ วัว รถเข็น และประชากรอีก 20 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ไม่เคารพสัญญาณไฟจราจรและตำรวจ นอกจากนี้ปัญหาการจราจรยังสร้างมลพิษอีกด้วย เมฆหนาทึบปกคลุมไปทั่วเมืองตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 90


15. จาการ์ตา ประเทศอินนีเซีย ตามทฤษฎี รถจักรยานยนต์ถือเป็นหนทางแก้ปัญหาในอุดมคติที่จะช่วยเคลื่อนย้ายคน แต่สำหรับจาการ์ตา หลักการนี้ใช้ไม่ได้ผล เมืองหลวงของอินโดนีเซียแห่งนี้มีมอเตอร์ไซค์ถึง 6.5 ล้านคัน แต่มีรถยนต์เพียง 2 ล้านคัน กระนั้นก็ยังมีปัญหาการจราจรอยู่ ปริมาณรถทำให้สามารถทำความเร็วเฉลี่ยในเมืองนี้ได้แค่ 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคมจาการ์ตาระบุว่าปริมาณพาหนะในเมืองนี้เพิ่มขึ้น เฉลี่ย 11% ต่อปี




ที่มา http://www.greenworld.or.th

สรุปการบรรยายโลกจะพบจุดจบอย่างไร??



สรุปการบรรยาย Will the world end in 2012? The Astronomical Evidence
โลกจะพบจุดจบอย่างไร??

เนื้อหาโดยย่อของการบรรยายพิเศษเนื่องในการจัดประชุมวิชาการดาราศาสตร์ ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 11

"Will the world end in 2012? The Astronomical Evidence "


โดย ศาสตราจารย์ท่านผู้หญิง โจเซลิน เบล เบอร์เนล (Dame Jocelyn Bell Burnell)

University of Oxford and Mansfield College


เนื้อหาการบรรยายโดยย่อ (ภาษาไทย)


กระแสความตื่นตัวของสังคมในเรื่องการสิ้นโลกในปี ค.ศ.2012 เริ่มขึ้น เมื่อมีผู้นำเสนอว่าปฏิทินมายาโบราณ ซึ่งเป็นปฏิทินที่คำนวณและทำนายเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ต่างๆเอาไว้ บันทึกเอาไว้ถึงวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 เท่านั้น ซึ่งบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของโลก


นอกจากนี้ผู้นำเสนอยังอ้างว่า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งแผ่นดินไหว พายุ ภูเขาไฟระเบิด รวมถึงปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ ยังสนับสนุนความเชื่อเหล่านี้ด้วย


ในการบรรยายครั้งนี้ จะกล่าวถึงปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ถูกนำมาอ้างว่าเกี่ยวข้องกับความเชื่อนี้

 การกลับขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์

ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทุกๆ 11 ปี และเรายังไม่พบว่ามีผลกระทบใดที่รุนแรงต่อมนุษย์

- พายุสุริยะ

ปริมาณจุดบนดวงอาทิตย์ (Sunspot) ในช่วงสูงสุดครั้งต่อไป (Solar Maximum) จะมีปริมาณจุดน้อยกว่าช่วงสูงสุดครั้งอื่นๆ (เพียงประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น) และจะเกิดขึ้นช้า คือราวปลายปี ค.ศ. 2013 ปริมาณจุดที่มากที่สุดในครั้งที่ผ่านๆมา ไม่แสดงถึงการดับสิ้นของโลกแต่อย่างใด ดังนั้น ในครั้งนี้ก็คงไม่ส่งผลเช่นกัน แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อดาวเทียมและระบบสื่อสารต่างๆ

- สนามแม่เหล็กโลกจะกลับทิศทาง และโลกจะหมุนกลับทิศ

สนามแม่เหล็กโลกมีการกลับทิศทุกๆประมาณสามแสนปี ขณะที่มนุษยชาติเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อประมาณสองล้านห้าแสนปีมาแล้ว ดังนั้นจึงมีการกลับทิศนี้ เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และยังไม่พบว่ามีผลกระทบกับมนุษยชาติหรือโลกนี้อย่างไร

การกลับทิศของสนามแม่เหล็กโลกจะใช้เวลาถึงประมาณห้าพันปีจึงจะแล้วเสร็จ โดยเริ่มจากการลดลงอย่างช้าๆของสนามแม่เหล็กโลก

ในปัจจุบัน สนามแม่เหล็กโลกกำลังอ่อนลง นั่นอาจจะหมายความว่า เรากำลังจะเริ่มเข้าสู่ช่วงของการกลับทิศสนามแม่เหล็กครั้งใหม่ แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนทิศทางการหมุนรอบตัวเองของโลกแต่อย่างใด

- การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์

ในปี ค.ศ.2012 ไม่มีการเรียงตัวกันของดาวเคราะห์แต่อย่างใด และการเรียงตัวกันของดาวเคราะห์ก็ไม่ส่งผลกระทบทั้งในด้านแรงโน้มถ่วง หรือแรงไทดัล (แรงที่ส่งผลให้เกิดน้ำขึ้น-น้ำลง) บนโลก

- ดาวเคราะห์ "นิบิรุ"

เรื่องเล่าเกี่ยวกับดาวนิบิรุนั้น กล่าวว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้ถูกสังเกตโดยชาวสุเมเรียน เมื่อ 2500 ปีก่อนคริสตกาล และพบว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้มีคาบการโคจรเท่ากับ 3600 ปี ด้วยวงโคจรที่เป็นรูปวงรีมาก ดาวเคราะห์ดวงนี้ถูกกล่าวถึงว่าจะชนโลกในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012

โดยอ้างว่าในเวลาช่วงที่ค้นพบนั้น ดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ห่างออกไป 400 AU (Astronomical Unit หรือ "หน่วยดาราศาสตร์" โดย 1 AU เท่ากับระยะห่างเฉลี่ยระหว่างโลกถึงดวงอาทิตย์ หรือประมาณ 149.6 ล้านกิโลเมตร) หรือเท่ากับ 10 เท่าของระยะทางถึงดาวพลูโต ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ด้วยตาเปล่า (หรือว่านิบิรุอาจเป็นดาวแคระน้ำตาล??)

นอกจากนี้ ถ้ามนุษย์เห็นนิบิรุได้ที่ระยะห่าง 400 AU ในขณะนี้ นิบิรุก็อยู่ห่างออกไป 7 AU (ระหว่างวงโคจรของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์) ซึ่งที่ระยะใกล้ขึ้น เราก็ควรมองเห็นนิบิรุได้ในเวลากลางวัน

แล้วในความจริง เราเห็นนิบิรุตอนกลางวันไหม??

ดังนั้น ดาวนิบิรุจึงไม่มีอยู่จริง

- ดาวเคราะห์น้อย

การพุ่งชนโลกของดาวเคราะห์น้อยขนาด 100 กิโลเมตร ถือเป็นความเสียหายที่รุนแรง ครั้งสุดท้ายที่เกิดการชนเช่นนี้ขึ้น คือเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว (ที่ทำให้เกิดหลุมอุกาบาตชิกซูลูป ประเทศเม็กซิโก) การชนในครั้งนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์

การพุ่งชนขนาดใหญ่นี้เกิดขึ้นทุกๆ 50-100 ล้านปี และทำให้เกิดฝุ่นครอบคลุมชั้นบรรยากาศโลก จนพืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ (ทำให้ส่งผลรุนแรงต่อระบบห่วงโซ่อาหาร)

ในปัจจุบัน มนุษย์ได้มีโครงการเฝ้าระวังทางอวกาศต่างๆ โดยสังเกตท้องฟ้า เพื่อเฝ้าระวังดาวหาง หรือดาวเคราะห์น้อยต่างๆ ที่เคลื่อนที่เข้ามา ถ้าเจอวัตถุที่จะเข้ามาพุ่งชนโลก เราจะรับรู้ก่อนเป็นเวลาหลายปีก่อนที่วัตถุนั้นจะเข้ามาชน และมนุษย์สามารถกระทำการต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น

ถ้าจะมีดาวเคราะห์น้อย หรือดาวหางมาพุ่งชนโลกในปี ค.ศ.2012 นักดาราศาสตร์ก็ต้องมองเห็นมันแล้ว และยังไม่ค้นพบวัตถุที่จะเข้ามาชนโลกในปี ค.ศ.2012

- หลุมดำที่ใจกลางกาแล็กซี่ทางช้างเผือก

ในวันที่ 21 ธันวาคม โลก ดวงอาทิตย์ และหลุมดำที่ใจกลางกาแล็กซี่ทางช้างเผือก จะเรียงกันเป็นเส้นตรง แล้วระบบสุริยะจะตกลงไปในหลุมดำนี้หรือไม่??

ปรากฏารณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคมของทุกปี (ซึ่งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น)

นอกจากนี้ หลุมดำอยู่ห่างจากระบบสุริยะออกไปถึง 26,000 ปีแสง ดังนั้น หากระบบสุริยะเคลื่อนที่เข้าหาหลุมดำนี้ด้วยความเร็วเท่าแสงต้องใช้เวลามากถึง 26,000 ปี

(ซึ่งในความเป็นจริง ระบบสุริยะเราก็ไม่ได้เคลื่อนที่เร็วขนาดนั้น และไม่ได้เคลื่อนที่พุ่งเข้าไปยังใจกลางกาแล็กซี่ทางช้างเผือก)

ประวัติวิทยากร

ศาสตราจารย์เบอร์เนล จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้วยการทำวิจัยในสาขาดาราศาสตร์วิทยุ ท่านได้ทำการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ด้วยกล้องดทรทรรศน์วิทยุ และได้ค้นพบวัตถุท้องฟ้าที่เรียกว่า "พัลซาร์" (Pulsar) หรือดาวนิวตรอนที่มีการแผ่คลื่นวิทยุออกมาเป็นห้วงตามอัตราการหมุนรอบตัวเองของดาว คล้ายกับประภาคาร

การศึกษาของท่านทำให้ Prof.Antony Hewish อาจารย์ที่ปรึกษาและ Prof.Martin Ryle ได้รับรางวัลโนเบล จากการค้นพบและศึกษาพัลซาร์

ศาสตราจารย์เบอร์เนลล์ทำงานวิจัยสาขาดาราศาสตร์วิทยุ โดยทำงานให้กับมหาวิทยาลัยชั้นนำ และหน่วยงานสำคัญด้านดาราศาสตร์ของสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ ยังเคยเป็นประธานของ Institute of Physics

ศาสตราจารย์เบอร์เนลล์ได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย รวมถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Commander of the order of the British Empire (CBE) และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Dame Commander of the order of the British Empire (DBE) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ.1999 และ 2007 ตามลำดับ

สำหรับรายละเอียดเรื่องประวัติวิทยากร: 
Wikipedia





Credit :  http://daejeonastronomy.exteen.com/20110811/will-the-world-end-in-2012-the-astronomical-evidence

10 อันดับอสูรกายใต้ทะเลที่มีอยู่จริง


อันดับที่ 1 : หมึกยักษ์ (Giant Squid)
คงเคยได้ยินตำนานปลาหมึกปีศาจแห่งน่านน้ำแถบมหาสมุทรแปซิฟิกกันมาบ้าง และเจ้าหมึกยักษ์นี้เป็นตำนานที่มีชีวิตจริงเสียด้วย ซึ่งอาจมีขนาดตัวโตได้มากกว่า 18 เมตร หนักได้มากกว่า 900 กิโลกรัม เมื่ออยู่ในทะเล หนวดยาว ๆ ที่มีปุ่มดูดของมันสามารถขึ้นมาพันม้วนจมเรือได้ทั้งลำอย่างง่ายดาย

อันดับที่ 2 : วาฬหัวทุย (Sperm Whales)
วาฬชนิดนี้ เป็นพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาวาฬทั้งหลาย ตัวโตเต็มวัยสามารถมีความยาวได้มากกว่า 18 เมตร และหนักได้ถึง 28 ตัน ลักษณะเด่นของมันคือส่วนหัวจะใหญ่มาก มีความยาวเกือบ 40% ของความยาวตลอดตัว เป็นวาฬที่สามารถดำน้ำได้ลึกที่สุด

อันดับที่ 3 : ปูยักษ์ (Giant Crabs)
ปูยักษ์ในรูปนี้ ขนาดใหญ่สุดวัดความยาวได้ถึง 1.5 เมตร และหนักถึง 10 กิโลกรัม ลักษณะน่าเกรงขามเหมือนแมงมุมยักษ์แห่งท้องทะเลเลยทีเดียว

อันดับที่ 4 : ปลาแองเกลอ หรือ ปลาปีศาจ (Anglerfish)
ปลาแองเกลอ เป็นหนึ่งในปลาที่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด แถมยังอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือ มันอยู่ในความมืดใต้ทะเลลึก เป็นปลาตระกูลเดียวกับปลาปีศาจครีบพัด แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าคือ มีหงอนที่มีแสงติดอยู่ที่หัว เอาไว้ล่อเหยื่อในที่มืด ปลาชนิดนี้ตัวไม่ใหญ่เท่าไหร่ ตัวเมียมีขนาดประมาณ 25 เซนติเมตร (ไม่รวมหนวด) ส่วนตัวผู้ยาวแค่ 1.27 เซนติเมตร เรื่องที่น่าสยองนิด ๆ คือ เมื่อตัวผู้เจอตัวเมียมันจะใช้ปากเกาะกินเลือดตัวเมีย จนนานเข้ามันจะเสียความสามารถในการมองเห็น และถูกหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของตัวเมีย (โหตัวอะไรกันแน่เนี่ย…)

อันดับที่ 5 : วาฬเพชฌฆาต (Killer Whales)
วาฬเพชฌฆาต ค่อนข้างเป็นสัตว์หน้าตาดี ดูน่ารัก แต่มันเป็นนักฆ่าที่เหี้ยมโหดร้ายสมชื่อ และมีการโจมตีที่มีประสิทธิภาพมาก มันกินเนื้อปลา แมวน้ำ แม้กระทั่งฉลาม ก็เป็นเหยื่อของมันเช่นกัน ขนาดของวาฬเพชฌฆาตนี้ ตัวผู้มีความยาวได้ถึง 9 เมตร ส่วนตัวเมียเล็กกว่าคือ 7 เมตร แต่นั่นก็ถือว่าใหญ่โตพอที่จะเขมือบอะไร ๆ ก็ได้

อันดับที่ 6 : ปลาฟางทูธ (Fangtooths)
เจ้าปลาหน้าตาน่าเกลียดตัวนี้ แม้จะดูเหมือนสัตว์ประหลาด แต่ก็มีความยาวเพียงประมาณ 6 นิ้วเท่านั้น และมีศีรษะใหญ่ ฟันยาว เป็นความโชคดีที่คุณคงจะไม่เจอมันง่าย ๆ หรอก เพราะมันอาศัยอยู่ในน้ำลึกประมาณ 5,000 เมตร

อันดับที่ 7 : หมึกวงฟ้า (Blue-ringed Octopus)
แม้ปลาหมึกวงฟ้าจะมีขนาดใหญ่ประมาณลูกกอล์ฟเท่านั้น แต่มันสามารถปล่อยพิษร้ายแรงที่สามารถฆ่ามนุษย์ได้ และยังไม่มียารักษาได้ ซึ่งพิษของมันนั้นร้ายแรงกว่าพิษงูเห่าถึง 20 เท่า ติดอันดับต้น ๆ ของสัตว์ทะเลที่มีพิษร้ายแรงที่สุดด้วย

อันดับที่ 8 : ปลาดราก้อน (Dragonfish)
ปลาทะเลน้ำลึกชนิดนี้ นับเป็นนักล่าที่ค่อนข้างพิลึก ด้วยลักษณะลำตัวผอม ๆ หัวโต และฟันใหญ่แหลมคม แต่ทั้งตัวก็มีความยาวเพียง 15 เซนติเมตร มันหลอกล่อเหยื่อด้วยแสงไฟจากส่วนที่ยื่นออกมาใต้คาง

อันดับที่ 9 : ปลาดึกดำบรรพ์ซีลาแคนท์ (Coelacanth)
ซีลาแคนท์ เป็นปลาโบราณ ที่เคยถูกคิดว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ 400 ล้านปีก่อนแล้ว แต่แล้วก็ถูกค้นพบอีกครั้งในปี 1938 ถูกตั้งฉายาว่า “ปลาที่ถูกกาลเวลาลืม”

อันดับที่ 10 : ปลาหิน (Stonefish)
ปลาหิน เป็นปลาที่หน้าตาไม่น่ารักเลย แต่มันก็พรางตัวได้อย่างดีเยี่ยมบนพื้นทราย มองดูเหมือนก้อนหินที่ถูกปะการังปกคลุม แถมมันยังเป็นปลามีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก พิษของมันอยู่ที่หนามบนตัว มันไม่ออกล่าหรือจู่โจม แต่หากเหยื่อไปแตะต้องถูกตัวมัน จะได้รับพิษของมันทันที ว่ากันว่า หากคุณถูกพิษของมัน จะต้องได้รับความเจ็บปวดมากที่สุดเท่าที่จะสามารถเจ็บได้ จากนั้นจะเป็นอัมพาต และตายในที่สุด

ทางรถไฟสายหฤโหดที่สุดในโลก


 การเดินทางทุกครั้งสิ่งที่มุ่งหวัง คือ "จุดหมาย" แต่ถ้าเราฝากชีวิตไว้ที่ "ทางรถไฟ" สายประหลาดเหล่านี้ เป็นอันต้องมีลุ้นระทึก ตื่นเต้นปนหวาดเสียวตลอดเส้นทางแน่นอน

Mountain Railways (India)

Mountain Railways (India)
เป็นทางรถไฟสายเก่าแก่ ไม่มีการบูรณะหรือปรับปรุงใดๆ เรียกว่าใช้มาแค่ไหน ก็ผุกร่อนกันไปตามอายุขัยเท่านั้น ถือเป็นทางรถไฟที่อันตรายที่สุดในเทือกเขาหิมาลัย ตลอดเส้นทางต้องผ่านเนินเขาขรุขระ ผู้คนก็แออัดเบียดเสียด เป็นการคืบคลานที่ทรมานที่สุด

White Pass and Yukon Route (Alaska)

White Pass and Yukon Route (Alaska)
เส้นทางรถไฟสายนี้สร้างขึ้นใน ปี ค.ศ. 1898 ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก มีความยาวถึง 20 ไมล์ แต่ช่วงที่อันตรายที่สุดคือช่วงที่ต้องวิ่งผ่าน สะพาน Captain William Moore สะพานที่ยาวถึง 110 ฟุต ใช้ข้ามรอยเลื่อนของเปลือกโลก เนื่องจากเคยเกิดแผ่นดินไหวอย่างหนักในบริเวณนี้

Kurunda Scenic Railway (Australia)

Kurunda Scenic Railway (Australia)
สร้างขึ้นใน ปี ค.ศ. 1891 เป็นเส้นทางเชื่อมระหว่าง Kurunda กับ Carins วิ่งผ่านอุทยานแห่งชาติ Barron เจออุโมงค์และป่าไม้ระเกะระกะตลอดทาง

Bamboo Trains (Cambodia)

Bamboo Trains (Cambodia)
อันนี้แถวบ้านเราคงเรียกว่า "รถราง" แน่ๆ ชาวกัมพูชาก็ช่างคิดเก็บเล็กผสมน้อย เอาไม้ไผ่กับเศษไม้เหลือทิ้งมาประกอบเป็นรถให้วิ่งอยู่บนรางได้ แถมยังใช้เครื่องยนต์จิ๋วขนคนยักษ์ได้อีกต่างหาก แต่ที่ทุลักทุเลคือ ทางรถไฟเค้ามีรางเดียว เวลารถสองขบวนสวนทางกันก็ต้องเสียเวลาลากเข็นกันน่าดู ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงนี่ ไม่อยากจะคิดเล้ยยยย อิอิ

The Death Railway (Thailand)

The Death Railway (Thailand)
"ทางรถไฟสายมรณะ"
 ของบ้านเราก็ติดอันดับด้วยนะ ที่มาของชื่อก็เศร้าตามชื่อนั่นแหละ เล่ากันว่ามีคนงานราวหนึ่งแสนคนเสียชีวิตจากการก่อสร้างทางรถไฟเส้นนี้ ตลอดทั้งสายทำจากไม้ เรียกว่าเก่ามะรอมมะร่อ ถ้าเป็นคนแก่ก็เจ็บออดๆ แอดๆ ต้องวิ่งกันอย่างใจเย็นที่สุด แถมยังมีความยาวถึง 258 ไมล์ จากไทยสู่พม่า

 Georgetown Loop Railroad (USA)

Georgetown Loop Railroad (USA)
ระยะทางเส้นนี้ไม่เท่าไหร่ แค่ 4.5 ไมล์ แต่ถ้ามองต่ำลงไปอาจมีเสียว เพราะสูงจากพื้นดินถึง 600 ฟุต อยู่กลางเทือกเขา Rocky ใครชอบความท้าทาย ต้องหาโอกาสสัมผัส เพราะเค้าว่ากันว่า "หัวใจแทบหยุดเต้น"

Argo Gede Train (Indonesia)

Argo Gede Train (Indonesia)
สร้างกันมานานนม กว่าจะเสร็จสิ้น รถไฟได้ชิม "ราง" ในปี ค.ศ. 2002 เป็นดินแดนที่ถูกกล่าวขวัญถึงความสวยงามแห่งภูเขา และลุ่มน้ำอันกว้างใหญ่ จากสภาพภูมิศาสตร์แล้ว การรังสรรค์ทางรถไฟนี้ยากลำบากมาก แต่ท้ายที่สุดก็ถูกเนรมิตจนสมบูรณ์ และไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆ จากการก่อสร้างอันทรหดนี้

West Highland Line (Scotland)

West Highland Line (Scotland)
ทางรถไฟนี้ได้รับการจัดอันดับจากผู้อ่านแมกกาซีน Wanderlust ให้เป็นเส้นทางรถไฟเก่าแก่อันดับต้นๆ ความสูงจากพื้นดินราว 30 เมตร

Nariz Del Diablo (Ecuador)

Nariz Del Diablo (Ecuador)
อันนี้ออกแนวรถบรรทุก เพราะบรรทุกเยอะจริงๆ เส้นนี้วิ่งจาก Andeans สู่ Alausi ผู้โดยสารสามารถขึ้นไปนั่งบนหลังคารถได้เต็มที่หากว่าในขบวนนั้นเต็มแล้ว อืมมม เต็มที่กันจริงๆ

Trem a las Nubes (Argentina)

Trem a las Nubes (Argentina)
หนึ่งในการเดินทางที่วิเศษที่สุดของอเมริกาใต้ สร้างเสร็จใน ปี ค.ศ. 1932 นักท่องเที่ยวจำนวนมากแห่แหนกันมาสัมผัส เส้นทางยาวถึง 270 ไมล์ ใช้เวลาเดินทางราว 16 ชั่วโมง วิ่งผ่าน 21 อุโมงค์ และสะพานอีก 29 แห่ง เป็นทางรถไฟที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก

สะพานแยกน้ำตามคัมภีร์ไบเบิ้ล


ภาพ สะพานแยกน้ำ Fort de Roovere ตามคัมภีร์ไบเบิ้ล สะพานที่อยู่ต่ำกว่าน้ำ สะพานแยกน้ำตามคัมภีร์ไบเบิ้ล มีชื่อว่า "Fort de Roovere" เป็นสะพานที่อยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ตรงพื้นที่ๆ เคยเป็นป้อมปราการที่มีการสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 17 เพื่อป้องกันการรุกรานของฝรั่งเศสและสเปน รูปแบบของสะพานนี้สร้างต่างไปจากสะพานอื่นๆ โดยมีการสร้างสะพานให้อยู่ใต้น้ำ กลายเป็นสะพานแยกน้ำสวยๆ สะพานแปลก ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน สวยมาก
 


รูปภาพ สะพานแยกน้ำ Fort de Roovere ตามคัมภีร์ไบเบิ้ล สะพานที่อยู่ต่ำกว่าน้ำ


รูปภาพ สะพานแยกน้ำ Fort de Roovere ตามคัมภีร์ไบเบิ้ล สะพานที่อยู่ต่ำกว่าน้ำ


รูปภาพ สะพานแยกน้ำ Fort de Roovere ตามคัมภีร์ไบเบิ้ล สะพานที่อยู่ต่ำกว่าน้ำ


รูปภาพ สะพานแยกน้ำ Fort de Roovere ตามคัมภีร์ไบเบิ้ล สะพานที่อยู่ต่ำกว่าน้ำ