วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

โลกตะลึง!! CERN ค้นพบ Neutrinos เดินทางเร็วกว่าแสง!


 
cern ค้นพบว่า อนุภาค neutrino สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสง!!!   
 
          (Reuters) - An international team of scientists has recorded neutrino particles traveling faster than the speed of light, a spokesman for the researchers said on Thursday -- in what could be a challenge to one of the fundamental rules of physics.
 
          Antonio Ereditato, who works at the CERN particle physics center on the Franco-Swiss border, told Reuters that measurements over three years showed the neutrinos moving 60 nanoseconds quicker than light over a distance of 730 km between Geneva and Gran Sasso, Italy.
 
          "We have high confidence in our results. But we need other colleagues to do their tests and confirm them," he said.
 
          If confirmed, the discovery would overturn a key part of Albert Einstein's 1905 theory of special relativity, which says that nothing in the universe can travel faster than light.
 
 
โดยเนื้อความข้างบนแปลได้เบื้องต้นดังนี้
 
          คณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ได้บันทึกการเคลื่อนที่ของอนุภาคนิวตรีโน ซึ่งมีความเร็วเหนือความเร็วแสง โฆษกของกลุ่มนักวิจัยได้กล่าวว่า (ใน วันพฤหัส) , ซึ่งผลดังกล่าวเป็นสิ่งหนึ่งที่ท้าทางกฏฟิสิกส์พื้นฐาน
 
          Antonio Ereditato ผู้ซึ่งทำงานที่ศูนย์วิจัยฟิสิกส์อนุภาค cern ตั้งอยู่บริเวณชายแดนฝรั่งเศส-สวิสซ์ กล่าวกันสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การทดลองต่างๆซึ่งได้กระทำตลอดสามปี ได้แสดงให้เห็นว่า อนุภาคนิวตรีโน มีการเคลื่อนที่เร็วกว่าแสงอยู่ 60นาโนวินาที (หกสิบส่วนหนึ่งพันล้านส่วนของวินาที) ตลอดระยะทาง 730กิโลเมตร ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองเจนนิวากับเมืองเกรนด์ ซัสโซ ของอิตาลี (ตรงนี้ผมยังสับสนในการแปลว่าเป็นการเปรียบเทียบหรือระยะที่ได้ทดลองจริง)
 
          เรามีความมั่นใจอย่างมากในผลการทดลองของเรา แต่เราต้องการให้ คณะวิจัยอื่นๆ ได้ทำการทดลองเพื่อยืนยันผลการทดลองดังกล่าว... เขากล่าว
 
          ถ้าหากผลการทดลองได้รับการยืนยัน การค้นพบนี้จะเปลี่ยน หลักสำคัญ ในทฤษฏีสัมพันธภาพพิเศษของ einstein ที่มีมาตั้งแต่ปี 1905 โดยทฤษฏีของ einstein ได้กล่าวว่าไม่มีสิ่งใดในจักรวาลสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง
 
......................................
 
Editor : Algobaleno
 
          ยังไงเสีย ถ้าเกิดว่าทฤษฏีนี้เป็นจริงขึ้นมา คงต้องปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ยกใหญ่แน่นอน
 
          โดยเฉพาะเรื่องกาลเวลา ที่ขึ้นอยู๋กับแสง ถ้าคุณเคยอ่านหนังสือไอสไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น จะมีหนึ่งบทในนั้นที่เขียนไว้ว่า เวลาในจักรวาล หรือบนโลกนี้ ถูกกำหนดด้วยแสง ความเร็วของเวลา ณ จุดนั้นๆ จะช้าหรือจะเร็ว ก็จะขึ้นอยู่กับแสง ณ จุดนั้น ยกตัวอย่าง ถ้าคนที่อยู่นอกโลก มองลงมาบนโลก ก็จะเห็นว่าคนบนโลกทำอะไรเร็วกว่าปกติ หรือเรียกว่า เวลามันเดินเร็วขึ้นนั่นเอง
 
          และยังบอกอีกว่า ถ้าคุณเดินทางได้ความเร็วเท่ากับแสง (ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ณ ตอนนี้) เวลาทุกอย่างจะหยุด และยิ่งกว่านั้นในหนังสือยังบอกอีกว่า ถ้าคุณเดินทางได้เร็วเหนือแสง ( O_o!!) เวลาจะย้อนกลับ!!ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตัว Neutrinos คงต้องเดินทางย้อนเวลาไปเรื่อยๆอย่างแน่นอน 
 
         ยังไงก็ตาม สิ่งที่เรากำลังทดลองอยู่มันละเอียดเกินกว่าที่ประสาทสัมผัสของมนุษย์จะรับรู้ได้ ดังนั้นความคลาดเคลื่อนก็คงจะมีสูงเหมือนกัน ถึงกระนั้นถ้าในสมัยที่ไอนสไตน์ยังมีชีวิตอยู่ มีเครื่องยิงอนุภาคเหมือนสมัยนี้ เราคงค้นพบทฤษฏีที่ดีกว่า และใหม่กว่านี้ได้อีกเยอะกันเลยทีเดียว
 
................................................

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

การทดลองฟิลาเดลเฟีย สุดยอดอาวุธล่องหน



เมื่อ ฤดูใบไม้ร่วงปี 1943 สหรัฐนาวีได้ดำเนินการทดลองงานเทคโนโลยี่ อย่างหนึ่งที่อู่ทหารเรือฟิลาเดลเฟีย งานทดลองนั้นเกี่ยวข้องกับ ทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่มีชื่อเรียกว่า “ยูนิไฟด์ ฟีลด์” (Unified Field Theory) สาระสำคัญของทฤษฎีที่ว่านี้ ก็คือความถ่วง สภาวะแม่เหล็ก และไฟฟ้า ทั้งสามอย่างนี้ควบคุมโดยพลังงานอย่างเดียวกัน ดังนั้นถ้าเปลี่ยนแปลงถ้าเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะแม่เหล็ก กับไฟฟ้า ก็จะสามารถยักย้าย ความถ่วงและมวลสารได้ (แต่ทฤษฎีนี้ไม่สมบูรณ์ แล้วตอนหลังไอน์สไตน์ก็ขอถอน) จุดมุ่งหมายของการทดลอง ครั้งนี้ก็เพื่อ จะหาทางทำให้เรือไม่ถูก เรดาห์ของข้าศึกตรวจจับได้

9.00 น. ของวันที่ 22 กรกฎาคม 1943 ขณะที่เรือพิฆาตคุ้มกันของนาวีสหรัฐชื่อ เอลดริดจ์ (USS Eldridge) ซึ่งได้ติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า ไทม์-ซีโร่ เยอเนอเรเตอร์ (Time Zero Generator) และเครื่องกำเนิดแม่เหล็กไฟฟ้าอีก 4 เครื่อง กำลังแล่นทดลองอยู่ในทะเลนั้น พลันก็ปรากฏหมอกควันสีเขียวจาง ๆ ห่อหุ้มเรือ แล้วเรือเอลดริดจ์ก็หายวับไปจากสายตาของบรรดานายทหารเรือชั้นสูงที่เฝ้าดู การทดลองครั้งนี้อยู่ แต่น่าประหลาดที่ยังคงแล เห็นเหมือนรอยท้องเรือ เป็นร่องลึกลงไปในน้ำ ยี่สิบนาทีผ่านไปเรือเอลดริดจ์ก็กลับมา ให้เห็น อีกครั้งหนึ่ง
      <<<   USS Eldridge
เรื่อง ไม่เพียงแต่แค่นี้ พวกลูกเรือบนเรือเอลดริดจ์คล้ายจะเป็นบ้า วิ่งกันให้พล่าน พร่ำส่งเสียงที่ฟังไม่เป็นภาษา บางคนมีอาการเหมือนเมาเหล้าส่งเสียง หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่พวกที่เฝ้าสังเกตการณ์ สามารถมองเห็นพวกเขาได้นั้น พวกลูกเรือกลับบอกว่าเขามอบไม่เห็นใครเลย และหลายคนยังบอกอีกว่า พวกเขาเห็นสถานีทหารเรือที่นิวปอร์ตในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทดลองถึง 965 กม. และมีผู้เห็นด้วยว่าในช่วงเวลาที่การทดลองปฏิบัติการครั้งนี้เรือ เอลดริดจ์ได้ไปอยู่ที่นิวปอร์ตจริง ?
อีกสามสัปดาห์ต่อมา ได้ทดลองกันอีกครั้ง คราวนี้เปลี่ยนลูกเรือเป็นชุดใหม่ และมีเรือ แอนดรูว์ ฟูรูเสธ (SS Andrew Furuseth) ทำหน้าที่ ควบคุมแล่นกำกับไปด้วย ตามข่าวว่ามีเรือสินค้าอีกลำชื่อเรือมาเลย์ (SS Maley) ที่ บังเอิญอยู่แถวนั้นก็พลอยเห็นเหตุการณ์ไปด้วย แล้วก็อีก ผู้เฝ้าสังเกตการณ์ แลเห็นหมอกสีเขียว ปรากฏขึ้นอีก แต่คราวนี้ผลที่เกิดกับลูกเรือออกจะน่ากลัวมาก บางคนไฟลุกไหม้ขึ้นมาเฉย ๆ บางคนก็เหมือนฝังจมเข้าไป กับส่วนบนของเรือ หลายคนเสียสติ มีคนหนึ่งหายตัวไปเลย
   <<<  SS Andrew Furuseth
เรื่องนี้ก็เหมือนนิทานชาวเรือทั้งหลายที่ฟังสนุกน่าตื่นเต้น แต่ก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง รอย เบนตันนักเดินเรือเก่าที่เคยตระเวนไปเจ็ดย่าน น้ำบอกว่าถ้าอยากรู้ความจริงก็ต้องย่อยเรื่องออกเป็นส่วน ๆ แล้วดูซิว่าส่วนไหนจริงส่วนไหนไม่จริง แล้วค่อยเอามาประกอบกับขึ้นใหม่

แรกทีเดียวก็ มาดูกันว่าเรือลำนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ปรากฏว่ามีจริง เรือลำนี้ต่ออยู่ที่อู่ของบริษัทเฟดเดอรัลชิปบิลดิ้งแอนด์ดรายด็อค ที่เมืองนิววาร์ก รัฐนิวเจอร์ซี่ วางกระดูกงูเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1943 ใช้เวลาสร้าง 6 เดือน 1 วัน ส่งมอบเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ดังนั้น ที่ว่าการทดลองทำกันเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม จึงไม่น่าจะใช่
เรือลำนี้ได้รับ การตั้งชื่อตามชื่อของ จอห์น เอลดริดจ์ จูเนียร์ ผู้บังคับการฝูงบินลาดตะเวณที่ 7 ประจำเรือบรรทุกเครื่องบินวอปส์ ซึ่งได้เสียชีวิต ในการรบที่เกาะโซโลมอนหลังปี 1943 เรือลำนี้ถูกส่งไปปฏิบัติงานที่เมดิเตอเรเนียน แล้วตอนปลายสงครามได้ไปปฏิบัติการรบย่านแปซิฟิก และปลดระวางในปี 1946 จากนั้นก็ถูกขายต่อให้ราชนาวีกรีกในวันที่ 15 มกราคม 1951 และได้รับชื่อใหม่ว่า ลีออน (Leon)
ที่ นี้มาดูกันว่าเคยมีการทดลองเกี่ยวกับแม่เหล็กไฟฟ้ากันบ้างหรือไม่ ก็เคยมีอีกเหมือนกัน เมื่อตอนที่อังกฤษกู้ทุ่นระเบิดแม่เหล็กแบบใหม่ ของเยอรมันที่ชูบิวรี่เนส เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1939 นั้น พวกนักวิทยาศาสตร์ ได้คิดวิธีทำให้ทุ่นระเบิด ระเบิดห่างจากตัวเรือหลายร้อยหลา วีธีการคือเพิ่มสนามแม่เหล็ก ในตัวเรือด้วยการเดินสายไฟเสริมไปตามดาดฟ้าเรือ จึงได้มีการต่อเรือกวาดทุนระเบิดแม่เหล็กลำแรกขึ้นมา คือเรือหลวงบอร์ด ของราชนาวีอังกฤษ แต่วิธีการที่ใช้นี้ไม่ได้ผลเสมอไป การวิจัยดำเนินกันต่อมา จนกระทั่งได้ค้นพบ ว่าเรือที่มีขั้วแม่เหล็กเป็นขั้วใต้เท่านั้น ที่จะได้รับ อันตรายจากทุนระเบิดแม่เหล็ก แต่เรือที่ต่อทางซีกโลกเหนือจะมีขั้วแม่เหล็กเป็นขั้วเหนือทั้งสิ้น ดังนั้น ต่อมาจึงมีการลบสนามแม่เหล็ก (de-gaussed) ในเรือด้วยการเดินสายไฟไว้ตอนในของท้องเรือ ส่วนเรื่องจะให้เรือรอดพ้นจากการถูกตรวจจับโดยโซนาร์และเรดาห์นั้นยังคงเป็นความฝันอยู่
 
            Morris K. Jessup                          Carlos Miguel Allende

แล้วเรื่องที่เรียกกันต่อมาในตอนหลังว่า “การทดลองฟิลาเดลเฟีย” เกิดขึ้นตอนไหน ก็พบว่าเมื่อปี 1955 มอริส เค เจสสุป (Morris K. Jessup) เซลส์แมน ขายอะไหล่ รถยนต์ที่รัฐวอชิงตัน ซึ่งกำลังทำปริญญาเอกด้านดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่ มหาวิทยาลัยมิชิแกน เกิดแจ๊คพ็อตด้วย ปรากฏว่าหนังสือ The Case For the UFO ของเขาเกิดขายดิบขายดี ซึ่งมอริสผู้นี้เชื่อในทฤษฏี ยูนิไฟด์ฟิลด์ ของไอน์สไตน์มาก
ระหว่างที่เที่ยว ตะเวนพบปะพูดคุยกับนักอ่านตามเมืองต่างๆ เพื่อโฆษณาหนังสือของเขาไปด้วยนั้น เขาได้พูดถึงความเป็นไปได้ของทฤษฏีนี้ไปด้วย แล้วในวันที่ 13 มกราคม 1956 เขาก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากบุคคลที่ชื่อ คาร์ลอส มีเกล อาเยนเด (Carlos Miguel Allende) เขียนเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องการทดลองของเรือ เอลดริดจ์ทั้งหมด แถมยังบอกว่า เรือพิฆาตลำนั้นถูกย้าย ด้วยวิธี “Teleported” จากฟิลาเดลเฟียไป นิวพอร์ต ภายในชั่วไม่กี่นาที อาเยนเดอ้างว่า ตัวเขาตอนนั้นเป็นลูกเรือ แอนดรูว์ ฟูรูเสธ จึงได้รู้เห็นเหตุการณ์

อาเยนเด เกิดที่เมืองสปริงเดลในรัฐเพนซิลวาเนีย เมื่อปี 1925 พ่อเป็นชาวอังกฤษแม่มีเชื่อสายฝรั่งเศส เขามีน้องชายอีกสามคน สมัยเรียน หนังสือเขาเก่งเลขและพีชคณิต และพูดได้หลายภาษา เขาให้ที่อยู่ของเขาไว้ว่าอยู่ในเพนซิลวาเนีย แต่ปรากฏว่าจดหมายของเขาประทับตราไปรษณีย์เกนสวิลล์ รัฐเทกซัส เมื่อสอบดูแล้วปรากฏว่า อัลเลนเคยเป็นทหารเรือจริง มีหมายเลขประจำตัว Z-416175

เจสสุ ปสนใจเรื่องนี้มาก จึงเขียนจดหมายติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมแต่ไม่ได้รับข่าว จนเวลาผ่านไปสี่เดือน ตอนนั้นเจสสุปกำลังยุ่งๆ อยู่กับการจะออกหนังสือเล่มใหม่ของเขา แล้วในวันที่ 25 พฤษภาคม 1956 เขาก็ได้รับจดหมายอีกฉบับหนึ่ง คราวนี้ลงนามว่า คาร์ล เอ็ม อัลเลน เจสสุป จึงเขียนถามไปใหม่ ขอทราบชื่อลูกเรือเอลดริดจ์และรายละเอียดวันเวลาต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบจนบัดนี้

ขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องชวนให้น่าสงสัยเกิดขึ้น คือเจสสุปถูกสำนักงานวิจัยทางนาวี (ONR = Office of Naval Research) เชิญตัวไปสอบ ปากคำเพราะมีผู้ส่งหนังสือคำอธิบายประกอบหนังสือเรื่องจานผีที่เจสสุป เขียนไปให้หน่วยงานแห่งนั้น หนังสือเหล่านั้นลงนามโดย มิสเตอร์เอ , มิสเตอร์บี และผู้ใช้นามแฝงว่า เจมี ทั้ง 3 ฉบับเขียนตอบข้อข้องใจในหนังสือของเขา ลายมือในหนังสือฉบับที่ลงนามโดย มิสเตอร์เอ นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นรายมือของ อาเยนเด เจสสุปจึงมอบจดหมายทั้ง 2 ฉบับที่ อาเยนเดเขียนถึงเขาให้หน่วย งานทหารเรือแห่งนั้นไป และหน่วยงานแห่งนั้นก็ได้ให้โรงพิมพ์วาโรคอร์ปอเรชั่น ที่การแลนด์ รัฐเทกซัส พิมพ์หนังสือคำอธิบายที่ว่านี้ขึ้นมา 25 เล่ม

ทำไม โอเอ็นอาร์ถึงพิมพ์ขึ้นมาก็ยังคงไม่มีใครให้เหตุผลได้ อย่างไรก็ตามอัลเลน ได้ส่งหนังสือพิมพ์ที่ สำนักพิมพ์วาโรพิมพ์ขึ้นมานี้ เล่มหนึ่งไปให้บิดาของเขาเมื่อเดือน มีนาคม 1978 พร้อมทั้งเขียนไปในจดหมายว่า “ได้ส่งหนังสือที่ผม ร่วมเขียนกับศาสตราจารย์ มอร์ริส เค. เจสสุป แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนเมื่อ 25 ปีก่อนมาพร้อมกันนี้” และยังบอกอีกว่าเขียนโดยตัวเขาเองลำพังไม่ใช่ มิสเตอร์เอ มิสเตอร์บี

ต่อมามีผู้พบเจสสุ ปตายด้วยแก็สคาร์บอนโมน๊อกไซต์ในรถสเตชั่นเวกอน ของเขาที่จอดอยู่ที่ แมทธีสันสแฮมมอค ใกล้เมืองไมอามี มีสายยางต่อจากท่อไอเสียสอดเข้าไปทางกระจกหน้าต่างหลังที่ไขแง้มอยู่และมี ผ้าขี้ริ้วชิ้น ๆ อุดช่องเอาไว้ ไม่พบจดหมายลาตายหรือเอกสารใด ๆ ในรถ

ผู้ที่มีโอกาสเห็นเจสสุปเป็นครั้งสุดท้ายก็คือ ดร.แมนสัน วาเลนไทน์ นักสมุทรศาสตร์ เจสสุป อยากจะขอหารือกับท่านเกี่ยวกับงานเขียน เรื่องการทดลองฟิลาเดลเฟียที่เขาคิดว่า เขารู้คำตอบแล้ว ท่านจึงเชิญเขาไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านท่านเมื่อคืนวันที่ 20 เมษายน 1959 และตาม ที่ท่านว่าเจสสุปอยู่ในสภาพจิตใจหดหู่ท้อแท้
คราวนี้ ลองดูว่ายังจะหาตัวลูกเรือเอลดริดจ์เพื่อสอบถามเรื่องนี้ได้บ้างหรือไม่ ก็พอดีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 1959 อดีตลูกเรือเอลดริดจ์ได้จัด งานคือสู่เหย้าขึ้นเป็นครั้งแรก แล้วเมื่อนำเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อปี 1943 มาเป็นหัวข้อสนทนา โรเบิร์ต เชียร์ ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงานก็บอกว่า “ตามความเห็นของผม ผมว่ามันเกิดจากจินตนาการของบางคน มันเป็นแค่นวนิยายวิทยาศาสตร์” แต่เชียร์เพิ่งจะเข้าประจำการบนเรือนี้ในตำแหน่ง ช่างกลชั้นสามเมื่อเดือนมีนาคม 1945 หลังเหตุการณ์ บิลล์ แวน อัลเลน นายทหารประจำเรือเมื่อตอนที่อ้างว่ามีการทดลองบอกว่า “ผมไม่เคยรู้ว่ามีอะไร แบบนั้นเกิดขึ้น ผมนึกไม่ออกเลยว่าข่าวลือนั่นเกิดขึ้นได้อย่างไร”

มีพยานรู้เห็น รายหนึ่งน่าสนใจ เป็นนายทหารเรือนอกราชการชื่อ เอ็ดเวิร์ด ดัดเจียน รับราชการในกองทัพเรือระหว่างปี 1942 – 1945 เคยศึกษาวิชาอิเล็คโทรนิคส์ที่มหาวิทยาลัยไอโอว่า เขาบอกว่า เรือเองสตรอม (Esgstrom) ของเขาก็ติดอุปกรณ์ลับแบบเดียวกับเรือเอลดริดจ์ เขาเล่าว่า “เรือเอลดริดจ์และเรือเองสตรอม จอดอยู่ในอ่าวด้วยกันจริง ๆ แล้วเรือของเราต่อพร้อมกันเมื่อเดือนมิถุนายนหรือกรกฏาคม 1943 มีเรือ 48, 49, 50 และเอลดริดจ์ กองทัพเรือทำดีเกาส์เรือทั้งหมดที่อู่แห้ง รวมถึงเรือสินค้าด้วย หาไม่แล้วเรือจะเป็นเหมือนแม่เหล็กดูด ตอปิโดให้เข้ามาหา ไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเรือเอลดริดจ์ เมื่อเราขึ้นฝั่งเมื่อปี 1944 ได้พบลูกเรือเอลดริดจ์ ก็ไม่เห็นพวกเขาเอ่ยถึงอะไรที่ผิดปกติ อาเยนเดแต่งขึ้นมาทั้งหมด”

แล้วเมื่อถามถึง Teleported ดัดเจียนอธิบายว่า “เมื่อ 5 ทุ่มเรือเอลดริดจ์ได้ออกไป (จากฟิลาเดลเฟีย) เรียบร้อยแล้ว ถ้าใครมองดูท่าเรือคืนนั้นก็จะ สังเกตเห็นว่าเรือมิได้อยู่ที่นั่นอีกแล้วและมันไปปรากฏอยู่ที่นิวปอร์ตจริง เรือกลับมาอยู่ที่อ่าวฟิลาเดลเฟียในเช้ารุ่งขึ้น ซึ่งมันดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ หากถ้าคุณดูในแผนที่คุณก็จะเห็นว่าเดินทางแบบนี้ เรือสินค้าจะต้องใช้เวลาสองวัน พวกเขาต้องหาคนนำร่องผ่านตาข่ายกันเรือดำน้ำ ทุ่นระเบิดและอื่น ๆ แถวปากอ่าวที่จะออกสู่แอตแลนติก แต่ทหารเรือเขาใช้คลองเชสปิก – เดลาแวร์เป็นเส้นทางลัด เราใช้เวลาแค่ราวหกชั่วโมง”

แล้วไปนิวปอร์ตทำไม? ก็ได้รับคำตอบว่า “ที่นั้นเป็นที่ที่เราไปบรรทุกระเบิด ผมรู้ว่าเอลดริดจ์ไปที่นั้นเพราะเราสวน กันในอ่าวเชสปิกเมื่อตอน ที่กลับมาจากเวอร์จิเนีย”

พอ ดีมีกะลาสีคนหนึ่งอยากจะอวดรู้พูดเรื่องอุปกรณ์ลับขึ้นมาเลยถูกสั่งให้หุบ ปาก การทะเลาะวิวาทจึงเกิดขึ้น ทำให้หมดโอกาสจะได้รู้อะไร เกี่ยวกับเรือเอลดริดจ์ต่อ
ถ้าลองค้นดูตามแผงหนังสือก็จะพบว่า วิลเลี่ยม มัวร์ และ ชาร์ลส์ เบอร์ลิตซ์ ได้เขียนหนังสือชื่อThe Philadelphia Experiment : Project Invisibility ขึ้นมาเมื่อปี 1979 และอ้างว่าเป็นเรื่องจริง หนังสือเล่มนี้ บ๊อบ ริคคาร์ด นักค้นคว้าเรื่องลึกลับต่าง ๆ อ่านแล้ววิจารณ์ว่า สนุกดี แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน ผู้แต่งพูดเอาเอง ทั้งนั้น อีกสองสามปีต่อมา เบอร์เกอร์ และซิมป์สัน ก็เขียนหนังสือนวนิยายอีกเรื่องหนึ่งชื่อ Thin Air เนื้อเรื่องเล่าถึงประสบการณ์สยองขวัญ ของกลาสีบนเรือเอลดริดจ์เหมือนกัน แล้วหลังจากนั้นก็มีผู้สร้างภาพยนต์เรื่องทำนองนี้ขึ้นมาอีกหลายเรื่องเช่น เรื่อง The Final Countdown แล้วเดี๋ยวนี้ก็มีปรากฏเว็บไซต์อีกหลายราย

ปริศนาดาวอังคาร


เรื่องของ Face on Mars หรือใบหน้าบนดาวอังคาร เป็นที่ถกเถียงกันมาหลายปีแล้ว ว่ามันเป็นเรื่องจริง เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีอยุ่บนดาวอังคารจริงๆ หรือว่าเป็นแค่ความบังเอิญ อันเนื่องมาจากข้อผิดพลาดทางเทคนิคของการถ่ายภาพ คนที่มีมนุษย์ต่างดาวในหัวใจต่างก็หวังกันลึกๆ ว่ามันน่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมบนดาวอังคาร เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกก็อยู่ไม่ไกลเลย
 


จากการศึกษาหลายต่อหลายปี จากกลุ่มนักวิชาการและนักลึกลับศาสตร์จำนวนมากพบว่า เรื่องของดาวอังคาร มีจารึกอยู่ในตำนานโบราณมากมาย โดยเฉพาะคัมภ์ไบเบิล มีการกล่าวถึงการสู้รบของเทวทูตสองฝ่าย บางคนเชื่อว่า เหตุการในพระคัมภีร็ตอนหนึ่งที่กล่าวถึงที่มั่นของเทวทูตฝ่ายกบฏ ก็คือเมืองบนดาวอังคารนี่เอง แต่นั่นก็เป็นเพียงการตีความครับ หาหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ ดังนั้นคนที่กระหายใคร่รู้เรื่องนี้จึงได้แต่รอผลพิสูจน์จากองค์การนาสา เพียงอย่างเดียว นับตั้งแต่มีการพบใบหน้าบนภาพถ่ายใบแรก นาสาก็ส่งยานอวกาศและดาวเทียมไปสำรวจดาวอังคารเป็นว่าเล่น น่าเสียดายที่ไม่มีลำไหนสามารถลงไปถ่ายภาพชนิดใกล้ชิดได้เลย เนื่องจากเครื่องมักจะ "ขัดข้อง" ทุกครั้งเมื่อเข้าสู่บรรยากาศของดาวอังคาร
 

 

 


ชาวกรีกโบราณเรียกดาวดวงนี้ว่า Red Planet หรือ ดาวเคราะห์สีแดง Mars เป็นชื่อโรมันครับ ชื่อในภาษากรีกคือ Ares เทพแห่งสงคราม เป็นดวงดาวที่มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ชัดเจนพอๆกับดาวศุกร์ และใช้เป็นเครื่องหมายบอกทิศของนักเดินทางในสมัยก่อน

ดาวอังคารเป็นที่ดึงดูดใจของนักดาราศาสตร์ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น อาจจะเนื่องมาจากความสวยงามของมันครับ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า อาจเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคาร ในขณะที่บางคนเสนอแนวคิดว่า ต่อไป ดาวอังคารอาจเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตในอนาคต ก็ตามแต่จะว่ากันไปล่ะครับ ที่แน่ๆก็คือ ดาวอังคารจะเป็นเป้าหมายแรกของมนุษย์ชาติ ในยุคแห่งการบุกเบิกอวกาศ ซึ่งจะมาถึงในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน

ดาวอังคารเป็นดาวดวงแรกที่เป็นทางผ่าน หากมนุษย์ต้องการเดินทางออกนอกระบบสุริยะ เชื่อไหมครับว่า ในช่วงที่ดาวอังคารอยู่ใกล้โลกที่สุด มันจะดูสว่างสุกใสกว่าดาวดวงใดๆบนท้องฟ้า พื้นดินสีแดงของดาวอังคารทำให้นักวิทยาศาสตร์เรียกดาวดวงนี้กันเล่นๆว่า "Red Planet" ครับ

ปีหนึ่งของดาวอังคารกินเวลา 779.9 วันหากนับตามเวลาของโลก และวันหนึ่งบนดาวอังคารจะยาวกว่าโลกของเราประมาณ 37 นาที บรรยากาศส่วนมากเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ประปรายที่แกนเหนือและใต้ของดาว พื้นผิวของดาวอังคารเต็มไปด้วยหลุมอุกาบาต หุบเหว แนวภูเขาไฟ ตลอดจนคลองยาวเหยียดที่ไม่มีน้ำ ปกติแล้วดาวอังคารจะมีพายุอย่างรุนแรงตลอดเวลา อนุภาคฝุ่นเล็กๆเหล่านี้จะลอยขึ้นสูงมาก จนบางครั้งปกคลุมชั้นบรรยากาศจนมองไม่เห็นพื้นผิวของดาวเลย ดาวอังคารมีดวงจัทร์เป็นบริวารอยู่สองดวงครับ ชื่อ โฟโบส กับ เดมิออส ( Phobos and Demios ) เนื่องจากขนาดของดวงจันทร์ทั้งสองนี้เล็กมาก นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า ดวงจันทร์เหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากแต่เป็นอุกาบาต หรือดาวเคราะห์น้อยที่บังเอิญโคจรผ่านมา แล้วถูกแรงดึงดูดของดาวอังคารจับเอาไว้ครับ

 

 นักดาราศาสตร์ยุคใหม่ผิดหวังไปตามๆกันครับ เมื่อการสำรวจของศตวรรษที่ 20 นำทีมโดยสหรัฐอเมริกาและโซเวียตรัสเซียเก่า ต่างยืนยันว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆบนดาวอังคาร และยิ่งผิดหวังหนักขึ้นไปอีก เมื่อได้ศึกษาถึงบรรยากาศของดาวอังคาร ตลอดจนภูมิประเทศ เพราะมันไม่เอื้ออำนวยต่อสิ่งมีชีวิตเลย พวกจุลชีวะอาจจะพอดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่สัตว์ที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อน พอที่จะสร้างอารยธรรมขึ้นมาอย่างมนุษย์เนี่ย เห็นทีจะมีอยู่ยากครับ

ความหวังของการพบสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารเริ่มเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนาสาและองค์กรอวกาศ ของอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซีย ต่างทยอยประกาศรายละเอียดการค้นพบ ที่ยานสำรวจต่างๆได้มาจากดาวอังคาร ภาพถ่ายจากยานมารีเนอร์ 9 และ ยานสำรวจจากยานไวกิ้ง 1 และ 2 ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มคล้อยตามแล้วว่า บนดาวอังคาร มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่โต ลักษณะเป็นปิระมิดเรียงรายกันล้อมรอบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะเป็นใบหน้าคนอยู่จริง

ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาภาพ "ใบหน้าบนดาวอังคาร"

 

ส่วนที่เรียกกันว่า "Inca City"ครับ                      


ก็คงต้องติดตามกันต่อไปค่ะ ..
ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~

 



Credit :  allmysteryworld.blogspot.com

นักวิจัยพบวิธีบันทึก"ความฝัน"เป็นวิดีโอ



ความลับในการทำงานของระบบนี้จะคล้ายๆ กับเเทคนิคการอ่านใจ (mind-reading) โดยเครื่อง MRI จะเฝ้าดูแพทเทิร์นที่ปรากฎในสมองของมนุษย์ เหมือนกับมันกำลังจ้องดูทีวี จากนั้นหาความสัมพันธ์ของแพทเทิร์นเหล่านั้น (รูปแบบที่ซ้ำกัน และต่างกัน) เพื่อนำมาสร้างภาพบนหน้าจอ ทั้งนี้ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลผลด้วยโมเดลคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน เพื่อสร้าง และทำนายความสัมพันธ์ระหว่างแพทเทิร์นในสมอง และภาพที่ให้ผู้ทดสอบมองเห็น ประกอบกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้น โดยใช้วิธีจับคู่ด้วยการสุ่มจากวิดีโอความยาว 18,000,000 วินาทีบน YouTube เพื่อหาความเป็นไปได้ของแพทเทิร์นที่เกิดขึ้นในสมอง
ด้วยฐานข้อมูลทั้งหมด ทีมนักวิจัยจาก Berkeley สามารถป้อนภาพสแกนของสมองเข้าไปในโมเดลคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะหยิบเอาวิดีโอ 100 คลิปที่ให้แพทเทิร์นของการทำงานของสมองที่เหมือนกันมากทีสุดแบบวินาทีต่อวินาที คลิปที่เดาได้ใกล้เคียงที่สุดจะถูกนำมารวมกันเป็นคลิปเดียว และเมื่อนำคลิปวิดีโอที่ได้ไปเปรียบเทียบกับคลิปต้นฉบับที่ผู้ทดสอบมองเห็น มันมีบางภาพที่คล้ายกับต้นฉบับจนน่าตกใจทีเดียว ลองชมคลิปข้างล่างนี้
การเปรียบเทียบวิดีโอทีสร้างขึ้นจากแพทเทิร์นทีได้จากภาพสแกนของสมองกับคลิปต้นฉบับ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ระบบสามารถทำงานได้ โดยเฉพาะความสามารถในการดูดภาพที่อยู่ในความคิดออกจากสมองของคุณได้ ซึ่งในอนาคต เซ็นเซอร์ตรวจจับ และอัลกอริธึมในการทำงานจะได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นจนคุณสามารถติดมันไว้กับตัวได้ และเมื่อหลับตา มันก็จะสแกนแพทเทิร์นของกิจกรรมที่เกิดขึ้นในสมองของคุณได้ เมื่อคุณหลับตานึกถึงภาพเป็ด MRI กับโมเดลคอมพิวเตอร์ก็จะฉายภาพเป็ด (หรืออะไรสักอย่างที่คล้ายเป็ด) ขึ้นมาให้เห็นได้ และเมื่อคุณหลับ ความฝันที่เกิดขึ้นในสมองของคุณก็จะถูกบันทึกออกมา เพื่อ play back วิดีโอบนคอมพิวเตอร์ได้...โอ้ว!!

 



Credit :  http://www.toptenthailand.com/index.php

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

ฮือฮา! พบดาวดวงใหม่คล้ายโลก คาดอาจมีสิ่งมีชีวิต


ฮือฮา! พบดาวดวงใหม่คล้ายโลก คาดอาจมีสิ่งมีชีวิต


  เว็บไซต์สเปซดอทคอม รายงานเมื่อวันที่ 12 กันยายนว่า นักดาราศาสตร์พบดาวดวงใหม่กว่า 50 ดวง ผ่านการส่องกล้องจากหอสังเกตการณ์ยุโรปตอนใต้ ระบุหนึ่งในนั้นมีสภาพคล้ายโลก และอาจมีสิ่งมีชีวิตบนนั้น
          รายงานระบุว่า จากการค้นพบดาวดวงใหม่กว่า 50 ดวงในครั้งนี้ มีดาวที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลกอยู่ทั้งหมด 16 ดวง ซึ่งผิวดาวทั้ง 16 ดวงนี้ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นหิน แต่ดวงที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือดาวที่ได้รับการตั้งชื่อว่า HD 85512 b หรือ Gliese 370 b ซึ่งนอกจากจะเป็นดาวที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลกแล้ว ยังอยู่โคจรอยู่ในแถบ habitable zone หรือแถบอวกาศที่มีสภาพอุณหภูมิไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป ทำให้น้ำสามารถดำรงอยู่ได้ในสภาวะของเหลว และนักดาราศาสตร์ก็ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนนั้นเช่นเดียวกับโลกของเราด้วย
          จากการตรวจสอบด้วยการใช้อุปกรณ์ตรวจวัดความเร็วเชิงรัศมีของดาวฤกษ์ความแม่นยำสูง หรือ HARPS ร่วมกับกล้องโทรทรรศน์ พบว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดใหญ่กว่าโลกราว ๆ 3.5 เท่า อยู่ไกลจากโลกไป 35 ปีแสง โคจรรอบดาวดวงหนึ่งที่ชื่อว่า HD 85512 ที่มีลักษณะเหมือนกับดวงอาทิตย์เช่นเดียวกับโลก ใช้เวลา 54 วันในการหมุนรอบตัวเอง มีเมฆปกคลุมและมีบรรยากาศคล้ายกับโลกของเรามาก ส่วนอุณหภูมิพื้นผิวของดาวดวงนี้อยู่ที่ 25 องศาเซลเซียส หรือก็พอ ๆ กับอากาศทางตอนใต้ของฝรั่งเศสนี่เอง
          ทางด้าน ลิซา คัลเตนเน็กเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ เปิดเผยว่า มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก ที่ได้พบว่ามีดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายกันกับโลกอีกดวงหนึ่ง และการค้นพบครั้งนี้ก็ไม่ใช่แค่การค้นพบดาวที่อยู่ห่างออกไปเท่านั้น แต่มันคือการค้นพบโลกใหม่ก็ว่าได้
          ทั้งนี้ นับตั้งแต่มีการส่องกล้องโทรทรรศน์ค้นหาดาวบนฟ้าที่อยู่ห่างจากโลกของเราไปหลายล้านปีแสง นักดาราศาสตร์ได้พบดาวเคราะห์แล้วกว่า 564 ดวง และยังมีดาวอีกกว่า 1,200 ดวงที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาลักษณะและชนิดของดาวต่อไป ส่วนดาวเคราะห์ที่มีขนาดและลักษณะใกล้เคียงกับโลกนั้น ถือว่าพบได้น้อยมาก จึงเป็นที่น่ายินดีของบรรดานักดาราศาสตร์อย่างยิ่งที่ได้ค้นพบดาว HD 85512 b ในครั้งนี้





Credit :  http://www.toptenthailand.com/

12 คำถาม กับโจทย์ อุกกาบาตยักษ์ชนโลก


สวัสดีครับ  เพื่อน ๆ หลายคนคงเคยอาจศึกษาเกี่ยวกับดาราศาสตร์มากแล้วพอสมควร ฉะนั้นคงเป้นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในห้วงอวกาศนั้นมีดวงดาวต่าง ๆ มากมายที่โครจรอยู่   ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็อาจจะยังมีอุกาบาตพุ่งชนกันเองบาง พุ่งเข้าชนดาวอื่น ๆบ้าง  หรือเฉียดดวงดาว ๆ เช่นดาวโลกก็จะเห็นกลายเป็นดาวหาง   แล้วถ้าวันหนึ่งมีดวงดาวขนาดใหญ่ หรืออุกาบาตขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนเต็ม ๆ จะเป็นยังไง เราก็ไม่อาจทราบได้ว่ามันจะเกิดขึ้นกับโลกเราหรือป่าว  และสิ่งที่ผมเสนอเป็นเพียงการวิเคราะห์กันมาบ้างแล้ว  ถึงแม้อาจจะไม่ใช้ในอนาคตอันใกล้แต่สักวันนึงถ้าถึงวันนั้นจะเป้นยังไงก็ไม่อาจทราบได้  ดังนั้นจึงมีผู้วิเคราะห์ออกมาแล้วว่าอุกาบาตจะชนโลกไหม ผมคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นความรู้กับเพื่อน ๆ ทุกท่านไม่มากก็น้อย (ศึกษาสักนิดก็ไม่เสียหาย  แถมมีประโยชน์ต่อสมองเราอีกน๊าเพื่อน ๆ )
บทนี้เรื่อง อุกกาบาต

เหตุผลหนึ่งที่มนุษย์มักสร้างคำทำนายเกี่ยวกับวันสิ้นโลก และสร้างภาพยนต์เกี่ยวกับภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อวันนั้นมาถึง และมักจบแบบรอดตายอย่างหวุดหวิด สะท้อนให้เห็นว่าอันที่จริงแล้วเราหวาดกลัว “วันสิ้นโลก” มากแค่ไหน พร้อมกันนั้นก็หวังลึก ๆ ว่าด้วยวิทยาการทั้งหมดที่เราคิดค้นขึ้นมาจนถึงปัจจุบันจะสามารถหยุดยั้งมันได้ แค่เพียงเรา “รู้ล่วงหน้า” เท่านั้น เราจึงปรารถนาที่จะรู้ว่าโลกจะแตกอย่างไรและเมื่อไหร่ เปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์และนักโหราศาสตร์ รวมทั้งนักอะไรต่าง ๆ มากมายสร้างเรื่องคำพยากรณ์โลกแตกมาให้ตื่นเต้นกันอยู่เรื่อย ๆ และหนึ่งในสาเหตุสุดฮิตที่อาจทะให้โลกแตกได้ก็คือ “อุกกาบาต” มาดูกันว่าอุกกาบาตมีโอกาสทำให้โลกแตกจริง ๆ ได้มากแค่ไหน…

1. อุกกาบาตยักษ์จะพุ่งชนโลกจริง ๆ หรือไม่?
จริง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เท่าที่ตรวจพบขณะนี้มีอุกกาบาตลูกหนึ่งที่มีโอกาสชนโลกในอีก 869 ปี ข้างหน้า

2. อุกกาบาตที่จะพุ่งชนโลกนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร?
- ที่จริงมันเป็นดาวเคราะห์น้อยชื่อ (29075)1950DA เป็นหนึ่งในวัตถุอวกาศใกล้โลก(Near Earth Objects : NEOs) ชื่อของมันแสดงให้เห็นว่ามันถูกค้นพบในปี ค.ศ.1950 ส่วน 29075 คือลำดับรายชื่อของมัน ที่เรียกว่าดาวเคราะห์น้อยเพราะมันมีรูปทรงบุบเบี้ยว ถ้าเป็นทรงกลมเราจะเรียกว่าดาวเคราะห์แคระ


3. (29075)1950DA จะพุ่งชนที่ไหน เมื่อไหร่?
- นักวิชาการคำนวณไว้ว่ามันจะพุ่งชนโลกในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.3423 โดยตกที่มหาสมุทรแอตแลนติก แต่อันที่จริงมันมีโอกาสที่จะพุ่งชนโลกเพียง 0.33% เท่านั้น

4. อุกกาบาตที่พุ่งชนโลกนี้ต้องมีขนาดใหญ่แค่ไหนถึงจะล้างโลกได้
- ขนาดที่เป็นอันตรายถึงขนาดล้างโลกได้ต้องมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 1 กิโลเมตรขึ้นไป ซึ่งดาวเคราะห์น้อย (29075)1950DA ก็มีขนาด 1 กิโลเมตรเศษ

5. มีองค์กรใดรับผิดชอบเกี่ยวกับการตรวจสอบและป้องกันอุกกาบาตชนโลกหรือไม่?
- มี องค์การนาซ่า แผนก NASA Spaceguard Survey จัดตั้งขึ้นเมื่อ 19 ปีที่แล้ว แม้แผนกนี้จะมีพนักงานจำนวนไม่มาก และยังมีอุปกรณ์อันจำกัด แต่ก็ทำให้วัตถุใกล้โลกที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 1 กิโลเมตรถูกค้นพบถึง 90% ทั้งยังรู้ตำแหน่งและวิถีโคจรของพวกมันอีกด้วย


6. วัตถุใกล้โลกหรือ NEOs ที่ค้นพบแล้วมีกี่ชิ้น?
ประมาณแปดพันชิ้น(ข้อมูล เดือนเมษายน พ.ศ.2554) เป็นดาวหาง 87 ชิ้น นอกจากนั้นเป็นดาวเคราะห์น้อยทั้งหมด และในจำนวนนี้มีชิ้นที่ใหญ่มากอยู่ 3 ชิ้น ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 15 กิโลเมตร (ขนาดใกล้เคียงกับอุกกาบาตที่พุ่งชนโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อน) แต่จากวิถีโคจรแสดงให้เห็นว่า NEOs ทั้งสามชิ้นนี้จะไม่เข้าชนโลก

7. NEOs ใกล้โลกแค่ไหนถึงจะเรียกว่าอันตราย?
- ยิ่งใกล้โลกมากก็ยิ่งอันตราย ดาวเคราะห์น้อยที่ใกล้โลกไม่เกิน 7 ล้านกิโลเมตร เรียกว่า ดาวเคราะห์น้อยอันตรายยิ่งยวด(Potentially Hazardous Asteroids : PHAs) ถ้าเป็นดาวหางที่ใกล้โลกไม่เกิน 7 ล้านกิโลเมตร เรียกว่า ดาวหางอันตรายยิ่งยวด(Potentially Hazardous Comets : PHCs) ซึ่ง NEOs ทั้งสองกลุ่มนี้ (ซึ่งมี 1,215 ชิ้น จากประมาณ 8,000 ชิ้น) เป็นที่จับตามองมากเพราะมันน่าจะเป็นอันตราย แต่จากการคำนวณอย่างละเอียดแล้ว ทั้งหมดจะไม่ชนโลกอย่างน้อยก็ภายใน 50 ปีนี้

8. NEOs ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 1 กิโลเมตรไม่เป็นอันตรายต่อโลกใช่หรือไม่?
- ไม่ใช่ เพียงแต่อันตรายไม่ถึงขั้นล้างโลก ที่จริงพวกมันก็อันตรายมากทีเดียว ตัวอย่างเช่น เมื่อ 100 ปีก่อน มีอุกกาบาตตกแถวทุ่งหญ้าหนาวเหน็บไร้คนอาศัยในทังกัสกา ไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย อุกกาบาตนั้นมีขนาดไม่ถึง 100 เมตร (แค่ประมาณ 60 เมตร) แต่เกิดแรงระเบิดเท่ากับดินระเบิด TNT 3-20 เมกะตัน นั่นคือ รุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่ถล่มฮิโรชิมาถึง 200-1,500 เท่า ดังนั้นนาซ่าจึงเริ่มมีโครงการสำรวจ NEOs ที่เล็กกว่า 1 กิโลเมตร แต่ใหญ่กว่า 100 เมตรด้วย เพราะมันก็อันตรายมากเหมือนกัน


9. โอกาสที่อุกกาบาตจะตกใส่โลกมีมากแค่ไหน?
- ไม่มากเท่าไหร่ โดยเฉลี่ยจากสถิติแล้ว อุกกาบาตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 100 เมตร ถึง 1 กิโลเมตร จะตกใส่โลกหนึ่งครั้งต่อหนึ่งพันปี แต่นี่เป็นข้อมูลทางสถิติ ค่าเฉลี่ยไม่สามารถเอามาคาดเดาอนาคตได้ หมายถึง มันมีสิทธิ์ตกลงมาใส่โลกเมื่อไหร่ก็ได้ อาจจะวันนี้ พรุ่งนี้ หรือตอนนี้เลยก็เป็นไปได้

10. มีโอกาสที่อุกกาบาตจะพุ่งชนโลกโดยที่เราไม่ทันได้รู้ตัวหรือไม่?
มีมาก เพราะถึงแม้จะมีการสำรวจ NEOs อยู่ตลอดเวลา แต่ใช่ว่าเราจะค้นพบทั้ง 100% เพราะ NEOs เป็นวัตถุไร้แสงสว่างในตัวเอง ต้องอาศัยแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ หลายชิ้นก็ตกสำรวจไปอย่างง่ายดาย และแน่นอนว่าเราไม่สามารถป้องกันวัตถุที่ตกสำรวจได้


11. หากมี NEOs ขนาดใหญ่ที่ตกสำรวจพุ่งชนโลก เราจะทำอย่างไร?
ทำอะไรไม่ได้ เตรียมตัวตายได้อย่างเดียว เพราะถ้าหากมีอุกกาบาตลี้ลับโผล่ขึ้นมา กว่าเราจะมองเห็นได้มันก็ต้องอยู่ใกล้โลกมากแล้ว เราอาจมีเวลาล่ำลากันสักประมาณครึ่งชั่วโมง

12. แล้วถ้า NEOs ขนาดยักษ์ที่ถูกค้นพบแล้วกำลังจะพุ่งชนโลกล่ะ เราจะป้องกันอย่างไร?
- ถึงแม้จะรู้ล่วงหน้าก็ใช่ว่าจะรอด เพราะจริง ๆ แล้วเทคโนโลยีในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถกำจัดอุกกาบาตยักษ์ที่กำลังจะพุ่งมายังโลกได้ ทั้งหมดที่เรามีอยู่เป็นเพียงทฤษฎีที่ไม่มีโครงการทดลองจริงจังอะไร เช่น ยิงจรวดปรมาณูใส่ หรือนำกระสวยอวกาศที่มีตาข่ายยักษ์ขึ้นไปครอบแล้วลากไปทิ้งไกล ๆ หรือนำยานลงจอดบนอุกกาบาตแล้ววางระเบิด ไม่ก็ยิงเลเซอร์ผ่ามันออกเป็นชิ้น ๆ ฯลฯ ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นวิธีหลุดโลกที่ยากจะคาดเดาผลลัพธ์ทั้งนั้น




Credit :  Nithat

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

คลิปตัวต่อจิ๋วขณะบิน


ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่า "Flight Artists" แห่ง Wageningen University ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ใช้กล้องถ่ายวิดีโอความเร็วสูงบันทึกภาพขณะบินของแมลงตัวต่อเบียน Trichogamma sp.
ตัวต่อ Trichogamma มีขนาดตัวรวมปีกเพียง 1 มิลลิเมตรเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์รู้อยู่แล้วว่าแมลงที่ตัวเล็กขนาดนี้จะต้องกระพือปีกด้วยความเร็วสูงมากหากต้องการจะบินไปในอากาศ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนสามารถบันทึกภาพขณะบินของมันให้เห็นกันที่อัตรา 22,000 เฟรมต่อวินาที ซึ่งเป็นอัตราที่ "พอจะ" ให้เราเห็นได้ว่าปีกของมันขยับอย่างไร
ตัวต่อ Trichogamma กระพือปีกได้เร็วมาก ความเร็วเฉลี่ยที่วัดได้คือ 350 ครั้งต่อวินาที แม้จะกระพือปีกได้เร็วขนาดนี้ มันก็ยังบินได้ไม่คล่องนัก จากวิดีโอจะเห็นว่าตัวต่อของเราเอาหัวทิ่มพื้นขณะร่อนลงอยู่บ่อยๆ
ที่มา http://jusci.net/node/1857

กระต่ายขนยาวที่สุดในโลก ( Longest Hair Rabbit )



กระต่ายพันธุ์ แองโกล่า ( Angora Rabbit ) เป็นกระต่ายขนยาวที่สุดในโลก ขนมี
ลักษณะอ่อนนุ่ม กระต่ายแองโกล่าเป็นกระต่ายสายพันธุ์เก่าแก่ มีต้นกำเนิดมาจาก เมือง
แองโกล่า ( Ankara ) ประเทศตรุกี ( Turkey ) เช่นเดียวกับ แมวแองโกล่า และแพะแอง
โกล่ากระต่ายพันธุ์นี้เป็นที่นิยมในประเทศฝรั่งเศลในยุคกลาง ปี ค.ศ.1700 และเข้ามาใน
อเมริกาประมาณปี 1900 กระต่ายแองโกล่าแบ่งออกได้เป็น 5 สายพันธุ์

  • กระต่ายแองโกล่า สายพันธุ์อังกฤษ : น้ำหนัก 2-3.5 กิโลกรัม
  •    กระต่ายแองโกล่า สายพันธุ์ฝรั่งเศล : น้ำหนัก 3.5-4.5 กิโลกรัม
  • กระต่ายแองโกล่า สายพันธุ์เยอรมัน : น้ำหนัก 2-5.5 กิโลกรัม           
  •  กระต่ายแองโกล่า สายพันธุ์ไจแอนท์ : น้ำหนัก 4.5 กิโลกรัม
  • หรือมากกว่ากระต่ายแองโกล่า สายพันธุ์ซาติน : น้ำหนัก 3.5-4.5 กิโลกรัม

บทสรุปหลักฐาน UFOและมนุษย์ต่างดาว


ในวันที่ 8 กรกฎาคม 1947 เรืออากาศโทวอลเตอร์ โฮท ซึ่งเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกองทัพอากาศแห่งสหรัฐเมืองรอสเวลล์ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า กองทัพได้ครอบครองจานบินลำหนึ่ง ซึ่งตกลงมายังพื้นโลกเมื่อคืนวันที่ 4 กรกฎาคม 1947 
หลังเที่ยงคืนเล็กน้อย วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1947 แม็ค บราเซล ชาวไร่ของฟาร์มนอกเมืองรอสเวลล์ ได้เห็นปรากฎการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าในคืนที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง มีฟ้าผ่า ในแสงวูบวาบ เขาเห็นยานทรงกลมสีเทาน้ำเงิน ถูกฟ้าผ่าแตกเป็นเสี่ยง แล้วแฉลบร่อนลงท้ายไร่พร้อมกับเสียงดังสนั่น

เนื่องจากความกลัว เขาไม่กล้าออกมาดู รุ่งเช้าจึงออกไปจุดที่ยานประหลาดตก จึงพบยานทรงกลมสีเทาเงินจอดบนพื้นดิน ในลักษณะตะแคงข้าง ปีกข้างหนึ่งจมปักในพื้นดินเลนแม็ค นำเรื่องไปแจ้งกับจอร์จ วิลค็อกซ์ นายอำเภอเมืองรอสเวลล์ในขณะนั้น ซึ่งได้ออกข่าวครั้งแรก โดยสถานีวิทยุท้องถิ่นว่าเกิดเหตุยานยูเอฟโอ.ตกที่ไร่ของแม็ค
นายอำเภอจอร์จ นำเรื่องไปแจ้งแก่ผู้บังคับการกองบินกองทัพอากาศ เมืองรอสเวลล์ จากนั้นไม่นานก็มีประกาศแถลงการณ์ฉบับใหม่ว่า สิ่งที่ถูกฟ้าผ่าตกลงมาที่ไร่ คือ บอลลูนตรวจอากาศ ซึ่งหุ้มบอลลูนด้วยฟลอยล์ จึงมีสีเทาเงิน
การรายงานข่าวดังกล่าว เป็นที่โจษขานกันทั่วทั้งสหรัฐและต่างประเทศข่าวดังกล่าวเปิดเผยว่า ฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 509 หน่วยที่ 8 ของกองทัพอากาศสหรัฐประจำจุดรอสเวลล์ ได้ยึดครองจานบินลำหนึ่งได้ที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยความร่วมมือของนายอำเภอที่รอสเวลล์ และเจ้าของฟาร์มแห่งนั้นทราบต่อมาว่า เจ้าของฟาร์มชื่อ แม๊ค บราเซล แม๊ค บราเซลเล่าให้ฟังว่า ตนมีฟาร์มปศุสัตว์ที่โคโรนา นิวแม็กซิโก ในเช้าตรู่ของวันที่ 5 กรกฎาคม 1947 (พศ.2490) ขณะที่กำลังเดินไปถึงกลางไร่ ได้พบว่ามีเศษโลหะกระจัดกระจายเกลื่อนกลาด ดูราวกับมีบางสิ่งบางอย่างขนาดใหญ่มาก ตกลงวมาจากท้องฟ้า สังเกตุได้ว่า เศษเหล็กหรือเศษโลหะกระจายเป็นอาณาบริเวณกว้างประมาณ 300 ฟุต และยาวราว 3 ไมล์ ชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายนั้น มีทั้งเป็นลวด เป็นชิ้นเล็ก ๆ และเป็นแผ่นโลหะเบาและบาง แต่เหนียว ทนทานมาก สามารถพับไปมาได้รายแผ่นกระกาษนอกจากนั้น ยังเศษโลหะคล้ายกระดาษฟอยล์สีตะกั่วกระจายไปทั่ว 
ในตอนแรก แม็คไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพบเห็นนั้นเป็นอะไร เขาได้หยิบเศษโลหะสามชิ้นไปให้เพื่อนบ้านที่ไกลออกไป10 ไมล์ได้ดู เพื่อนบ้านแนะนำว่าให้ไปหานายอำเภอจอร์จ เอ. วิลค๊อกซ์และเอาเจ้าสิ่งนี้ให้นายอำเภอดูด้วย ตอนแรก นายอำเภอไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก ได้แนะนำให้แม็คโทรศัพท์ติดต่อกองบินทหารอากาศรอสเวลล์และเมื่อแม๊คทำตามไม่นาน กองบินทหารได้ส่งทหารอากาศสองนายและพลเรือนนายหนึ่ง ซึ่งบอกกับแม๊คว่า เป็นสมาชิกหน่วยต่อต้านข่าวกรองของกองทัพนายทหารที่มานั้นต่อมาทราบชื่อว่า นาวาอากาศตรี เจสส์ เอ.มาร์เซล อีกคนหนึ่งคือ นาวาเอกวิลเลี่ยม บลันชาร์ด ซึ่งเป็นผู้บังชาการฝูงบินที่ 509 นั่นเอง 
เศษชิ้นส่วนประหลาดที่พบบริเวณจานบินตกที่รอสเวลล์ทั้งหมดไปยังฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งถึงจุดหมายเป็นช่วงเวลาเย็น จึงต้องพักค้างแรมกันที่นั่น จนรุ่งเช้า แม๊ค ก็พาทุกคนไปยังจุดที่จานบินตก และทุกคนก็ตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น นาวาอากาศตรีมาร์เซล ได้กล่าวว่า เศษโลหะและวัตถุดังกล่าว กระจัดกระจายเกลื่อนกลาด มันประหลาดมาก ไม่เคยพบที่ใดมาก่อน ส่วนใหญ่จะบางเท่ากระดาษหสังสือพิมพ์แต่เหนียว ทนทานมาก เขาใช้ค้อนทุบ ใช้ไฟเผา หักงอ เพียงครู่เดียวกันก็กลับคืนสู่สภาพเดิม และทุกคนก็ช่วยกันเก็บเศษโลหะดังกล่าวใส่รถจี๊บและลำเลียงไปยังใจกลางเมืองรอสเวลล์ 
ต่อมาปรากฎว่า กองทัพอากาศสหรัฐและนาวาอากาศตรีเจสส์ มาร์เซล ออกข่าวว่าเศษโลหะดังกล่าวเป็นเพียงเศษซากบัลลูนตรวจอากาศที่ตกลงมาเท่านั้น พลอากาศจัตวางโรเจอร์ เรมีย์ ได้ปฎิเสธช่าวว่า ไม่มีการลำเลียงเศษซากจานบินออกมาจากพื้นที่แต่ประกาศใด
แต่หลังจากการเปิดเผยของนาวอากาศตรีเจสส์ มาร์เซลเมื่อไม่นานมานี้เปิดเผยว่า มีการลำเลียงเศษซากจานบินไปทางเครื่องบิน และมีพยานหลายคนที่รู้เห็น เช่น สแตนตัน ฟรีดแมน ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์และนิวเคลียร์ซึ่งพลอากาศจัตวาโรเจอร์ เรมีย์ สั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบ นาวาอากาศตรี เจสส์ มาร์เซล ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อไม่กี่ปีมานี่ว่า ทุกอย่างที่กองทัพอากาศสหรัฐออกแถลงการว่าที่เห็นเป็นเพียงซากบัลลูนนั้น เป็นการสร้างละครลวงตาสื่อมวลชนทั้งสิ้น มาร์เซลกล่าวว่า ซากกระจัดกระจายมีขนาดใหญ่กว้างมาก ซึ่งมากกว่าที่จะเป็นซากบัลลูนตกหลายเท่า จากการเปิดเผยของนาวาอากาศตรี เจสส์ มาร์เซล ทำให้องค์การต่าง ๆ รวมทั้งนักค้นคว้าจานบิน เห็นสมควรว่า น่าจะมีการรื้อฟื้นสอบสวนเรื่องจานบินตกที่รอสเวลล์ เมื่อปี 1947 ใหม่ เพราะหลายคนเชื่อว่า มีจานบินตกจริงที่ฟาร์มของ แม๊ค บราเซล 

แถลงการณ์ฉบับนั้นไม่มีใครเชื่อ เพราะมีประจักษ์พยานผู้รู้ผู้เห็นจากไร่ใกล้ๆ เข้าไปดูที่เกิดเหตุยืนยันว่า พบจานผี ทรงกลมในสภาพแตกหัก และพบร่างมนุษย์ต่างดาว ตาย 1 ศพ และบาดเจ็บ 1 คน อาการบาดเจ็บเกิดจากแผลไฟไหม้
เมื่อชายคนหนึ่ง ชื่อเกรดีย์ แอล บาร์นีย์ บาร์เนตต์ ได้กล่าวอ้างว่าเขาได้พบซากเศษโลหะของจานบินอีกลำหนึ่ง ขณะนั้นเขากำลังทำงานอยู่ในบริเวณใกล้ที่ราบซานอกุสติน ซึ่งชาวบ้านในแถบนั้น เรียกว่า "ที่ราบไร้วิญญาณ" เป็นที่น่าสังเกตว่า บริเวณดังกล่าวนี้ห่างจากไร่ปศุสัตว์ของแม็ค ประมาณ 120 ไมล์ ไม่เพียงแต่บาร์เนตต์เท่านั้นที่พบเห็นจานบิน บังเอิญนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งขับรถผ่านมาพอดี ซึ่งบาร์เนตก็ลืมถามว่าพวกเขามาจากมหาวิทยาลัยใด สิ่งสำคัญก็คือ พวกเขาได้เห็นศพมนุษย์ประหลาดนอนตายอยู่รอบ ๆ จานบินด้วย 
 


ต่อมาบาร์เนตต์ได้อธิบายว่า ศพมนุษย์ประหลาดนั้นรูปร่างคล้ายสัตว์ตัวเล็ก แต่มีศีรษะใหญ่คล้ายรูปผลแพร์ แขนและขาผอมมาก และที่น่าสังเกตุก็คือไม่มีขน ศพทั้งหมดสวมชุดคล้ายเกราะเหล็กสีเทา ได้สัดส่วนพอเหมาะ เป็นชุดที่ไม่มีกระดุมและซิป 
ต่อมาทหารก็มาถึง พวกเขาสั่งให้บาร์เตต์และกลุ่มนักโบราณคดีถอยห่างออกไปจากยานบินลำนั้น และนายทหารที่เป็นหัวหน้าได้กำชับว่ามันเป็นหน้าที่ที่ทหารต้องรับผิดชอบ และห้ามทุกคนนำเรื่องที่พบเห็นไปบอกใครเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะเดือนร้อน ให้ลืมเรื่องดังกล่าวให้หมด บาร์เนตต์จึงจำเป็นต้องปกปิดเรื่องที่พบเห็นเป็นความลับไม่แพร่งพรายให้ใครรู้แม้แต่ภรรยา ญาติมิตร หรือแม้กระทั่งผู้บังคับบัญชา 
ในปี 1978 นักค้นคว้าจานบินหลายคนลงความเห็นว่า ซากโลหะประหลาดที่แม็ค บราเซลพบมีความเกี่ยวพันกับยานอวกาศและศพมนุษย์ต่างพิภพที่บาร์เนตต์พบอีกแห่งหนึ่งแน่นอน ซึ่งเขาได้สันนิษฐานว่ายานตกลงมาต่างหาก ส่วนมนุษย์ต่างดาวคงดีดตัวออกมาจากตัวยานก่อนจะลงมาถึงพื้นโลก หรืออาจเสียชีวิตเนื่องจากหนีออกจากห้องที่แยกออกจากตัวยานไม่สำเร็จ และบริเวณที่ยานลำนั้นตกลงมาคงอยู่ใกล้ที่ราบซานอกุสติน สตริงฟิลด์ยังได้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการปิดข่าวเกี่ยวกับศพมนุษย์ต่างดาวอีก นั่นคือ นอร์มา การ์ดเนอร์ ซึ่งเคยทำงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีดกับฝ่ายแลกเปลี่ยนเอกสารลับสุดยอดที่กองบินทหารอากาศไรท์ แพตเตอร์สัน หน้าที่ที่เธอได้รับมอบหมายอย่างหนึ่งคือ พิมพ์รายงานชันสูตรศพมนุษย์ต่างดาวรายหนึ่ง นั่นก็แสดงว่ามีการพบศพมนุษย์ต่างดาวจริง แต่ก็น่าคิดว่าเพราะเหตุใดฝ่ายทหารจึงปกปิดเป็นความลับ 

วันเวลาผ่านไป 60 กว่าปี เมื่อเร็วๆนี้ 2 นักวิจัย คือ โธมัส เจ.แครีย์ กับนักยูเอฟโอ.วิทยา โดแนลด์ อาร์.ชิตต์ ได้เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งเป็นผลงานจากการค้นคว้า สืบสวนเก็บข้อมูลมาหลายปี ใช้ชื่อว่า.. “เหตุเกิดที่รอสเวลล์:หลักฐานชิ้นใหญ่ที่รัฐบาลปกปิด”

“โธมัส กับ โดแนลด์ ใช้เวลาหลายปีสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทั้งหมดซึ่งต้องเผชิญกับการให้ข้อมูลจากไม่รู้จริง และจากคนรู้จริง แต่บิดเบือนข้อมูลเพื่อดิสเครดิตมนุษย์ต่างดาว” เอ็ดการ์ มิตเชลล์ อดีตนักบินอวกาศยาน อพอลโล่กล่าว

“พวกฝ่ายรัฐบาลพยายามออกข่าวว่า ข้อมูลที่เราไปสืบค้นมาได้เป็นเรื่อง ขี้คุย ขี้โอ่ ไม่รู้จริง ล้วนเป็นการบิดเบือนข้อมูล เพื่อปกปิดความจริงต่อประชาชนทั้งสิ้น”

ทีมงานวิจัยได้นำเสนอหลักฐานเด็ด ที่ไม่ม่ใครกล้าปฎิเสธได้ นั่นคือเศษโลหะประหลาด ซึ่งมีผู้เก็บรักษาไว้ โดยไม่ยอมคืนแก่ทางการ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญโลหะวิทยา เคยทำงานกับกองทัพอากาศ เคยสัมผัสกับโลหะประหลาดนี้มาแล้วให้การยืนยัน ไม่ใช่เรื่องยกเมฆแต่อย่างใด

โลหะชนิดนี้เป็นของในยุคนั้น มีสีเทาเงิน อ่อนนุ่ม แต่แข็งเหนียว ทนทานต่อกรด และเครื่องพ่นไฟได้ จุดเด่นสำคัญเมื่อถูกพับงอ หรือโค้งจะคืนสู่รูปทรงเดิมได้

โลหะพิสดารรู้จักในชื่อ นิทิโนล (Nitinol) เป็นโลหะประหลาดไม่เคยพบในโลก ต่อมาเรียกกันว่า โลหะมีความทรงจำ (memory metal)

นิทิโนล (Nitinol)
แอนโทนี บรากาเลีย นักธุรกิจใหญ่ ซึ่งครอบครองวัตถุประหลาด โดยไม่ยอมบอกว่าเขาซื้อมาจากใคร แต่ยืนยันเขาได้มาจากจุดที่ยานยูเอฟโอ.ตก ที่เมืองรอสเวลล์ เมื่อปี 1947 จริง

นักธุรกิจแอนโทนี ควักกระเป๋าตัวเองว่าจ้างห้องแล็บกองทัพอากาศ และสถาบันบาเตลล์เมมโมเรียล แห่งเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ ทำการวิเคาระห์วัตถุลึกลับนี้ให้

จากรายงานสถาบันวิจัยบาเตลล์ กล่าวถึงรายละเอียดโลหะประหลาด นอกจากยืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนยานอวกาศที่ตกลงมาที่เมืองรอสเวลล์แล้ว ยังพบว่าเป็นโลหะที่น่าสนใจสามารถนำมาใช้ประโยชน์เชิงธุรกิจอุตสาหกรรมได้อย่างมหาศาล

โลหะนิทิโนล ที่แท้เป็นโลหะผสมระหว่างแร่นิเกิลบริสุทธิ์กับไททาเนียมบริสุทธิ์ เมื่อผสมสารปรอทเข้าไป ก็สามารถแปรรูป และคืนสู่สภาพเดิมได้

“โลหะนิทิโนล จะจดจำรูปทรงเดิมของมันได้แม้จะดัดงอ พับ ก็สามารถหวนกลับสู่รูปทรงเดิม โครงสร้างของมันเป็นเส้นใยที่มีความยืดหยุ่นได้สูง แม้เป็นโลหะก็มีน้ำหนักเบา คล้ายโลหะอะลูมิเนียม แต่มีสีในตัวมันเอง สามารถทนทานต่อการเผาผลาญด้วยความร้อนสูงได้” นักธุรกิจแอนโทนีกล่าว

“ผมไม่อยากยืนยันลงไปว่าใครเลียนแบบใคร ทุกวันนี้ในการผลิตเราใช้โลหะนิทิโทล ใช้ทำกรอบแว่นตา ที่สามารถโค้งงอได้โดยไม่หัก ใช้ทุกอุปกรณ์การแพทย์ และที่สำคัญใช้เกลื่อนพื้นผิวนอกสุดของยานอวกาศ”

มีข้อสังเกตว่า ช่วงปลายปี 1967 หลังยานยูเอฟโอ.ตกที่เมืองรอสเวลล์ได้ 5-6 เดือน รายงานวิจัยจากวงการอุตสาหกรรมสั่งนำเข้าโลหะไททาเนียม เข้ามายังสหรัฐอเมริกาจำนวนมากปัจจุบันร้องอ๋อ! กันว่า ที่แท้จู่ๆไททาเนียมมีบทบาทในวงการอุตสาหกรรม ชาติตะวันตกก็เพราะเป็นส่วนผสมหลักในการผลิต โลหะยืดหยุ่นนิทิโทลนั่นเอง

นอกจากนี้ นักวิจัยยังตั้งข้อสังเกตุอีกว่า หลังปีค.ศ. 1960 เป็นต้นมา ชาวโลกพบกับนวัตกรรมการสื่อสารใหม่ ที่น่าตื่นตะลึงนั่นคือระบบ“อินเตอร์เน็ต” ซึ่งนักวิจัยทั้ง 2 คน ฟันธง ว่าเป็นการลอกเลียนแบบจากเทคโนโลยีจากยานอวกาศ ที่ตกในไร่ชานเมืองรอสเวลล์นั่นเอง

 
ลำดับเหตุการณ์ที่รอสเวลล์ 
กรกฎาคม 1947 มีจานบินปรากฎเหนือน่านฟ้านิวเม็กซิโก มีการติดตามด้วยเรดาร์ที่ศูนย์เรดาร์ในรอสเวลล์ที่ไวท์แซนด์ และอาลาโมกอร์โด จานบินดังกล่าวบินเร็วมาก ซึ่งยืนยันได้ว่า ขณะนั้นไม่มีเครื่องบินต่าง ๆ ในบริเวณนั้นแต่อย่างใด 


4 กรกฎาคม 1947 กลางคืน ประมาณ 4-5 ทุ่มมีฝนฟ้าคะนอง มีพยานหลายคนพบเห็นลูกไฟตกลงมาจากท้องฟ้า ศูนย์เรดาร์สามารถจับวัตถุบินประหลาดได้และร่วงลงจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว 
แม็ค บราเซล
5 กรกฏาคม 1947แม็ค บราเซลกับลูกชายชื่อวิลเลี่ยม ดี. พร็อคเตอร์ ได้ขี่ม้าออกสำรวจฟาร์มปศุสัตว์ และพบเห็นซากโลหะประหลาดตกลงมาในไร่ กระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้าง 
พันตรีเจสซี่ มาร์เซล (Jesse Marcel)
6-7 กรกฎคม 1947 กองทัพอากาศของสหรัฐประจำรอสเวลล์ ก็มาถึงรวมถึงนาวาอากาศตรีเจสส์ มาร์เซลด้วย มีการรขึงเชือกกันบริเวณไม่ให้ใครเข้าใกล้ กล่าวกันว่าเพียงสองชั่วโมง ทหารก็เก็บซากโลหะประหลาดออกไปและที่สำคัญ มีพยานเห็นทหารนำศพมนุษย์ประหลาดออกจากซากจานบินตกด้วย และทุกอย่างก็ถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด 

8 กรกฎาคม 1947 - นาวาเอกวิลเลี่ยม บลันชาร์ด เมื่อทราบข่าว ได้สั่งให้วางกำลังรายล้อมคอกปศุสัตว์โดยด่วน 
 

- แม๊ค บราเซล ถูกสอบหนัก พร้อมทั้งถูกข่มชู่จากนายทหาร - บาย2 โมง สำนักข่าวเอพี รายงานข่าวด่วนว่า กองทัพอากาศสหรัฐพบจานบินตกที่รอสเวลล์ - ทั่วโลกเริ่มประโคมข่าว - นาวาอากาศตรี อี เอ็ม เคอร์ตัน ให้ออกข่าวว่า ซากที่พบเป็นเพียงซากบัลลูนตรวจอากาศ - ทั้งพลอากาศจัตวาโรเจอร์ เรมีย์ และ เจสส์ มาร์เซล ออกข่าวและถ่ายภาพกับซากประปลาด และกล่าวว่า ซากดังกล่าวตรวจสอบแล้วเป็นซากบัลลูนตรวจอากาศเท่านั้น (เกือบ 10 ปี ต่อมา ที่เจสส์ มาร์เซล เปิดเผยความจริงว่า กองทัพตบตาหลอกลวง เพราะแท้ที่จริงแล้วมันคือซาก จานบินจริง) - แม๊ค บราเซล ยังคงถูกคุมตัวในเมืองรอสเวลล์ - เกลนน์ เดนนิส สัปเหรอ ในรอสเวลล์ ได้ถูกนายทหารนายหนึ่งโทรศัพท์สอบถามถึงการเตรียม โลงศพขนาดเล็ก และการรักษาศพโดยไม่ต้องเปลี่ยน้ำยาเคมี เกลนน์ เล่าว่าทีแรกนึกว่าบุคคลสำคัญ เสียชีวิต แต่ยังไม่อยากเปิดเผย 

9 กรกฎาคม 1947 พยาบาลนางหนึ่งในโรงพยาบาลกองบิน บอกกับเกลนน์ เดนนิสว่า หล่อนเป็นศพมนุษย์ต่างดาว และเขียนภาพให้เกลนน์ดูด้วย 

11 กรกฎาคม 1947 เกลนน์ เดนนิส โทรศัพท์ไปหาเพื่อนพยาบาลคนเดิมเพื่อซักถามบางประการ ปรากฎว่า ทางโรงพยาบาลบอกว่า เธอย้ายออกจากโรงพยาบาล และไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ที่ใด 

15 กรกฎาคม 1947 แม็ก บราเซลกลับบ้าน ปลายเดือน กรกฎาคม 1947 ไม่มีใครคาดคิด แม็ค บราเซล เปิดเผยเหตุการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์อย่างเปิดอกและกล่าวว่า ตนถูกกองทัพข่มขู่อยางขมขื่นมากกันยายน 1947 นางพยาบาลเพื่อนของ เกลนน์ เดนนิส ถูกฆ่าตายปริศนาที่กรุงลอนตอน ประเทศอังกฤษ 

ปี 1969 จ่าอากาศเมลวิน อี. บราวน์ เปิดเผยว่า ตนเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยปกปิดความลับที่รอสเวลล์ และยังเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยนำศพมนุษย์ต่างดาวไปยังโรงพยาบาลที่รอสเวลล์ 

ปี 1978 เจสส์ มาร์เซลและอีกหลายคนออกมาเปิดเผยความจริงว่า ซากดังกล่าวไม่ใช่บัลลูนแน่อนอน ปี 1980 ชาร์ลส์ เบอร์ลิตช์ และ ลิลเลี่ยม แอล.มัว ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ The Roswell Incident โด่งดังไปทั่วโลกปี 1989 ศูนย์ค้นคว้าวิจัยจานบิน ของ ดร.เจ อัลเลน ไฮเน็ค ส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจบริเวณที่พบซากจานบินปี 1991

หลังจากนั้นอีกกว่า 30 ปีจึงมีหลักฐานใหม่ขึ้นมาอีกชิ้น ในปี 1984 เอกสารลับขององค์กรลับที่ชื่อว่า Majestic 12 หรือ MJ12 ผุดขึ้นต่อสาธารณชน เอกสารฉบับนี้ระบุว่ามีการศึกษาจานบินและมนุษย์ต่างดาวที่พบที่รอสเวลล์ เมื่อปี 1947 มันถูกใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่ามีจานบินตกในรอสเวลล์จริง
ฝ่ายที่เชื่อเรื่องจานบินมีจริง เฮอยู่ได้ไม่นานก็มีการพิสูจน์ว่าเอกสารลับ MJ12 ฉบับนี้เป็นของปลอม สรุปว่าเมื่อตัวเอกสารปลอมเรื่องราวที่อยู่ในเอกสารก็เป็นเรื่องไม่จริงด้วย แต่ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว การที่เอกสารฉบับนั้นเป็นของปลอมมันบอกแค่เพียงเอกสารฉบับนั้นปลอมเฉยๆ มันไม่ได้พิสูจน์ว่า MJ12 ไม่มีจริงหรือเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นจริง


ต่อมาสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2554 ถึงเรื่องที่หลายคนต่างให้ความสนใจและถกเถียงกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยระบุว่าข้อมูล "เอ็กซ์-ไฟล์" ของหน่วยงาน "เอฟบีไอ" อ้างว่า วัตถุลึกลับจากนอกโลกมีจริง และเคยประสบอุบัติเหตุตกบนโลกมนุษย์ช่วงปี 1950

บันทึกลับสุดยอดดังกล่าว เผยทฤษฎีสมคบคิด ว่า วัตถุจากต่างดาวเคยตกที่เมืองรอสเวลล์ ในนิวเม็กซิโก ของสหรัฐฯ ก่อนถูกส่งไปตรวจสอบต่อยังฐานทัพอากาศ "แอเรีย 51" ทางตอนใต้ของรัฐเนวาดา ซึ่งวัตถุที่ไม่สามารถระบุที่มาได้นั้น มีรูปร่างเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางราว 50 ฟุต พบพร้อมร่าง 3 ร่าง สูงเพียง 3 ฟุต แต่ละรายอยู่ในภาวะหมดสติ สวมเครื่องแต่งกายจากโลหะอย่างดี เชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว อุบัติเหตุครั้งดังกล่าวเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์แนวไซไฟ หลังข้อมูลของ เอฟบีไอ ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ และมั่นใจว่าจะกระตุ้นทฤษฎีสมคบคิดเรื่องการมีอยู่จริงของมนุยต์ต่างดาว ที่ถูกปกปิดมาโดยตลอดได้ ด้าน นิก โป๊ป ผู้เชี่ยวชาญด้าน อูเอฟโอ ชาวอังกฤษ ผู้สอบสวนวัตถุลึกลับทางอาการของกระทรวงกลาโหม ระบุเมื่อคืนนี้ (10 เม.ย.) ว่า ข้อมูลดังกล่าวสามารถพิสูจน์ได้ว่า มนุษย์ต่างดาวและยานอวกาศ "มีอยู่จริง" สำหรับการพบจานผีลึกลับพร้อมนุษยต์ต่างดาวนั้น ให้ข้อมูลโดย กาย ฮอตเทล เจ้าหน้าที่เอฟบีไอประจำวอชิงตัน และภายหลังข้อมูลถูกเปิดเผยสู่สาธารณะเมื่อ 22 ก.ค. 1947 ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านเกลียดชังต่อเจ้าพนักงานคนดังกล่าว เขาเผยว่า ยูเอฟโอ ตกเพราะรัฐบาลติดตั้งเรดาร์พลังงานสูงในพื้นที่นั้น ส่งผลให้ก่อกวนการควบคุมของยานอวกาศ ส่วนรายชื่อของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตรวจสอบ ถูกขีดทับด้วยหมึกดำไม่สามารถระบุตัวตนได้ อย่างไรก็ดี ข้อมูล เอฟบีไอ ชุดดังกล่าวถูกเปิดเผยบนอินเตอร์เน็ตพร้อมกับเอกสารอีกกว่าพันฉบับ เรียกว่า "เดอะ โวลต์" ซึ่งสนับสนุนเหตุการณ์ของ ฮอตเทล ?ทั้งสิ้น และในปีเดียวกันวัตถุลึกลับยังถูกพบอีก แต่เป็นลักษณะ 6 เหลี่ยม จับภาพได้ด้วยเคเบิ้ลบนบอนลูน. 
มีข้อสังเกตอีกว่า 
 
พี่น้องตระกูลไรท์ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์โลก ได้คิดค้นเครื่องบินลำแรกของโลกขึ้นเมื่อ 200 กว่าปีก่อน
ถ้าย้อนหลังไปอีก 200 ปี ตรงกับยุคกลางเป็นยุคตะวันตกใช้เรือปืนโบราณออกล่าอาณานิคม เป็นเรือใบ 3 เสา แล่นด้วยความแรงลม
แต่ถ้านับระยะเวลา 200 ปี ที่ผ่านมา หลังจากพี่น้องตระกูลไรท์สร้างเครื่องบินลำแรก ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ องค์การนาซาสหรัฐ สร้างยานอวกาศไปสำรวจดาวอังคารแล้ว
200 ปี ที่ผ่านมา โลกเจริญด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคแบบก้าวกระโดด ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า นี่แค่เราได้ยานยูเอฟโอ. ระดับยานลูกมาเลียนแบบ เรายังไปไกลถึงเพียงนี้



ที่มา : http://bbznet.pukpik.com          http://atcloud.com          นิตยาสาร แปลกทะลุโลก
     
____________________ 


Read more: http://allmysteryworld.blogspot.com/2011/06/ufo.html#ixzz1VRdDT8o1