วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

20 เรื่องเหลือเชื่อทางวิทยาศาสตร์


1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก


2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
ดาวนิวตรอน (Neutron star) เป็นซากที่เหลือจากยุบตัวของการระเบิดแบบซูเปอร์โนวาชนิด II,Ib หรือ Ic และจะเกิดเฉพาะดาวฤกษ์มวลมาก มีส่วนประกอบเพียงนิวตรอนที่อะตอมไร้กระแสไฟฟ้า (นิวตรอนมีมวลสารใกล้เคียงโปรตอน) และดาวประเภทนี้สามารถคงตัวอยู่ได้ด้วยกฎของเพาลีเกี่ยวกับแรงผลักระหว่างนิวตรอน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่งดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแ สงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า

9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์

11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทั่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร
13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต

14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี
17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์
18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน

20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่
ที่มา http://th.wikipedia.org

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

ฮือฮา! บอสใหญ่เว็บ"อเมซอน" เผยพบเครื่องยนต์"อะพอลโล 11" ใต้ทะเลลึกกลางแอตแลนติก



นายเจฟฟ์ เบซอส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ) และผู้ก่อตั้ง"อเมซอน"
กล่าวว่า ตนสามารถระบุพิกัดการตกของหนึ่งในชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ที่ใช้ขับเคลื่อนกระสวยอวกาศอะพอลโล 11 ขึ้นสู่ดวงจันทร์ บริเวณมหาสมุทรแอตแลนติก และหวังว่าจะนำชิ้นส่วนดังกล่าวขึ้นจากใต้ท้องทะเล


นายเบซอส โพสต์ข้อความในเว็บบล็อกส่วนตัวว่า คณะสำรวจของเขาได้พบเครื่องยนต์เอฟ-1 จำนวน 5 ตัว ที่ใช้ในการขับเคลื่อนกระสวยอวกาศอะพอลโล 11 ที่นำนักบินอวกาศขึ้นสู่ดวงจันทร์ครั้งแรกเมื่อปี 1969 ใต้ท้องมหาสมุทรแอตแลนติกในระดับความลึกประมาณ 14,000 ฟุต หรือราว 4,300 เมตร

นายเบซอส มหาเศรษฐีเจ้าของเว็บไซต์อเมซอน ที่จำหน่ายสินค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีความสนใจเรื่องอวกาศเป็นอย่างยิ่ง

เครื่องยนต์เอฟ-1 ถูกใช้ในกระสวยอวกาศแซทเทิร์น 5 ที่ทำหน้าที่นำยานอพอลโลสู่นอกชั้นบรรยากาศของโลก ที่เดินทางไปสู่ดวงจันทร์ในที่สุด เครื่องยนต์ดังกล่าวระเบิดตัวเองก่อนหน้าการแยกตัวของกระสวยและตกลงสู่โลกบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติก

นายเบซอส กล่าวในเว็บไซต์ bezosexpeditions.com ว่า เครื่องยนต์เอฟ-1 ถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง โดยมีแรงขับเคลื่อนถึง 32 ล้านแรงม้า และเผาผลาญน้ำมันก๊าดที่ใช้กับกระสวยอวกาศโดยเฉพาะ และอ็อกซิเจนเหลว เป็นปริมาณ 2,720 กิโลกรัมต่อวินาที ซึ่งในปีที่ปล่อยนั้นเขามีอายุเพียง 5 ขวบ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสนใจในวิทยาศาสตร์นับตั้งแต่นั้น

เขากล่าวยืนยันว่า เขาและทีมงานสามารถระบุพิกัดการตกของเครื่องยนต์ดังกล่าวแล้ว แต่ไม่ได้ระบุว่าที่ใด และยังไม่ทราบว่าเครื่องยนต์ดังกล่าวจะมีสภาพอย่างไร เนื่องจากอาจเกิดความเสียหายจากการตกในแนวดิ่งอย่างรุนแรง อีกทั้งการผุกร่อนจากการแช่อยู่ในน้ำทะเลนานกว่า 40 ปี

นายเบซอสเผยว่า เขาเตรียมที่จะติดต่อกับนาซา ซึ่งยังคงมีสิทธิ์ในเครื่องยนต์ดังกล่าว เพื่อขออนุญาตจัดแสดงเครื่องยนต์ดังกล่าวที่พิพิธภัณฑ์การบินที่บ้านของเขาที่เมืองซีแอตเติล ขณะที่นาซาเองก็ยังคงติดตามข่าวการค้นพบดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง


ยานอะพอลโล 11 เป็นยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนผิวของดวงจันทร์สำเร็จขององค์การนาซา อพอลโล 11 ถูกส่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโดยจรวดแซทเทิร์น 5 ที่ฐานยิงจรวจที่แหลมเคเนดี รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 1969 อีกสี่วันต่อมาก็สามารถลงจอดบริเวณ "ทะเลแห่งความเงียบสงบ" (Mare Tranquilitatis) ได้สำเร็จ ลูกเรือประกอบด้วย นีล อาร์มสตรอง ในตำแหน่งผู้บังคับการ, เอ็ดวิน อัลดริน และ ไมเคิล คอลลินส์ รวมเวลาอยู่บนดวงจันทร์ 21 ชั่วโมง 36 นาที ใช้เวลานับตั้งแต่ออกเดินทางจนกลับถึงโลก 195 ชั่วโมง 18 นาที 35 วินาที กลับถึงโลกในวันที่ 24 กรกฎาคม 1969

เปิดกรุ "ไอน์สไตน์" ใครว่าเขาเรียนไม่เก่ง



เด็กชาย "ไอน์สไตน์" หาได้ทึ่ม เรียนช้า อย่างที่ลือกันมา หนึ่งในเอกสารนับพันๆ ชิ้นของนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกบ่งชี้ไว้เช่นนั้น ซึ่งเอกสารเหล่านี้ได้รับการเผยแพร่ผ่านโลกไซเบอร์แล้ว ให้ทุกคนได้รู้จักเขามากขึ้น จากร่องรอยที่เขาทิ้งไว้

       บรรดาเอกสารที่เกี่ยวกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ได้รับการนำมาเผยแพร่ผ่านโลกไซเบอร์ที่ ไอน์สไตน์ อาร์ไคฟ ออนไลน์ (Einstein Archives Online) แล้ว ในการเปิดเว็บไซต์กรุไอน์สไตน์อย่างเป็นทางการวันแรก เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2012 มีฐานข้อมูลเป็นเอกสารกว่า 2,000 ชิ้น และยังมีอีก 80,000 กว่าชิ้นที่จะค่อยๆ ออนไลน์ตามมา

       เอกสารที่นำมาเผยแพร่ผ่านโลกไซเบอร์นี้ มีมากมายหลายหมวดหมู่ ตั้งแต่จดหมายส่วนตัวจนกระทั่งถึงต้นฉบับงานทางวิทยาศาสตร์ เป็นการรวบรวมของมหาวิทยาลัยฮิบรูว์ (Albert Einstein Archives at the Hebrew University of Jerusalem) อันเป็นเจ้าของโครงการนี้ และยังมีเอกสารบางส่วนมาจาก โครงการผลงานของไอน์สไตน์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย (Einstein Papers Project at the California Institute of Technology)

       หนึ่งในบรรดาเอกสารภาพที่น่าสนใจของไอน์สไตน์ ก็คือประกาศนียบัตรโรงเรียนมัธยมศึกษา หลังจากที่ไอน์สไตน์เรียนจบเมื่ออายุ 16 ปีในปี 1896 ผลการเรียนที่แสดงออกมานั้น ปรากฏชัดว่าเขาเป็นนักเรียนยอดเยี่ยม หาใช่แย่ๆ อย่างที่เล่าลือกันมา

       ทั้งนี้ ตามเอกสารผลคะแนน ทำให้เห็นว่า ที่ไอน์สไตน์ต้องออกจากโรงเรียนั้น เพราะเขาไม่สามารถอยู่ในกฏระเบียบและยังไม่เชื่อฟังครูอาจารย์

       นอกจากนี้ยังมีภาพลายมือการเขียน E=mc2 ซึ่งเป็นสมการที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพลังงาน มวล และความเร็วแสง ซึ่งผันมาจากทฤษฏีสัมพัทธภาพพิเศษ ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบสาขาฟิสิกส์ ในปี 1921

       อีกทั้งเอกสารส่วนตัวของไอน์สไตน์ก็มีการจัดแสดงออนไลน์ด้วย ไม่ว่าจะเป็น โปสการ์ดที่เขาเขียนหาแม่ในเดือน ก.ย.1919 ที่เล่าถึงการพิสูจน์ผลงานวิจัยของเขา ที่นำโดยอาร์เธอร์ เอ็ดดิงตัน (Arthur Eddington) นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ขณะเกิดสุริยุปราคาในเดือนพ.ค.ของปีเดียวกัน ซึ่งเป็นการยืนยันข้อมูลที่เป็นผลมาจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป และยังระบุถึงสุขภาพอันถดถอยของแม่

       ในจดหมาย มีข้อความถึงแม่ของเขาว่า "วันนี้มีข่าวดี ลอเรนซ์ได้ส่งโทรเลขมาบอกว่า การสำรวจของชาวอังกฤษได้ยืนยันการเบี่ยงเบนของแสงโดยดวงอาทิตย์ แต่น่าเสียดาย มายาได้เขียนถึงผมว่า แม่ไม่ได้แค่มีอาการเจ็บป่วยมาก แต่ยังซึมเศร้า ผมจะหาไปอยู่กับแม่ได้อย่างไรดี เพื่อให้แม่ไม่เกิดความเหงาหงอยไปมากกว่านี้"

       เว็บไซต์แห่งนี้ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2003 โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจำนวน 500,000 เหรียญสหรัฐฯ จากมูลนิธิโปลอนสกี แห่งลอนดอน (Polonsky Foundation of London) เพื่อนำเอกสารกว่า 80,000 ชิ้นของไอน์สไตน์เข้าสู่โลกออนไลน์

Credit http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000035967

Evolution of the Moon : วิวัฒนาการของพระจันทร์


นาซ่า โชว์คลิป การเปลี่ยนแปลงผิวดวงจันทร์ ตลอด4,500ล้านปี
องค์การ การบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ นาซา ได้เผยคลิปวิดีโอสั้นๆ เพียง 3 นาที แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวของดวงจันทร์ ที่เป็นดาวบริวารของโลก ในช่วง 4,500 ล้านปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจัน ในการเกิดร่องรอยต่างๆ บนผิวดวงจันทร์
ทั้งนี้ วิดีโอดังกล่าว นาซ่า ทำขึ้นเนื่องในโอกาสฉลอง ที่ยานสำรวจดวงจันทร์ “ลูนาร์ รีคอนแนสซองซ์ ออร์บิเตอร์” ออกไปโครจรรอบดวงจันทร์ ครบ 1,000 วัน

ยิงรถไฟขึ้นไปบนชั้นอวกาศ


นี่คือความทะเยอทะยานในการสร้างยานพาหนะสำหรับท่องไปในอวกาศจากโปรเจคของ Startram ด้วยเงินลงทุนกว่า 6 แสนล้านเหรียญ ในระยะทางกว่า 1,000 ไมล์ที่ระดับความสูง 12 ไมล์ ด้วยรถไฟลอยตัวที่มีความเร็วสูงถึง 20,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ที่มีจุดเริ่มต้นจากสถานีบนพื้นดินทะยานขึ้นไปสู่วงโคจรต่ำของโลก
นี่คือโปรเจคของ Startram (ซึ่งร่วมก่อตั้งโดย Dr. James Powell ผู้ที่คิดค้น superconducting magnetic levitationl) การเดินทางสู่ชั้นบรรยากาศจะเริ่มต้นด้วยการนำรถไฟ maglev มาใส่ไว้ในอุโมงค์สูญญากาศบนภาคพื้นดิน หลังจากนั้นก็เร่งความเร็วเป็นเวลาห้านาทีให้ไปแตะที่ความเร็ว 5.6 ไมล์ต่อวินาที ต่อจากนั้นก็เปิดปลายท่อที่ยกสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า 12 ไมล์ ซึ่งที่ความสูงระดับนี้อากาสจะมีความเบาบางไม่ทำให้รถไฟเกิดการเสียหาย หลังจากนั้นรถไฟก็จะลอยตัวพุ่งออกไปด้วยความเร็ว 20,000 ไมล์ต่อชั่วโมง
ศาสตราจารย์ Powell และศาสตราจารย์ George Maise ผู้ช่วยกล่าวว่าถ้าพวกเค้าสามารถใช้สายเคเบิ้ลนำไฟฟ้าขนาด 200 ล้านแอมแปร์มาร้อยผ่านด้านล่างภายนอกของอุโมงค์ และใช้สายเคเบิ้ลขนาด 20 ล้านแอมแปร์ติดตั้งไว้ภายในอุโมงค์ ก็จะสามารถสร้างสนามแม่เหล็ก magnetic levitation เพื่อยกรถไฟได้
ในทางทฤษฎีแล้ว ตอนนี้ชิ้นส่วนต่างๆของรถไฟ maglev ความเร็วสูง ไม่มีส่วนใดที่ยังทำไม่ได้ (แต่จะปลอดภัยรึเปล่านั่นก็อีกเรื่องนึงนะ) แต่สิ่งที่หยุดยั้งความเป็นไปได้ก็คือการสร้างอุโมงค์ปืนใหญ่ขนาดยักษ์ที่มีความสูง 12 ไมล์ (19.3 กม.) ให้ยกตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าต่างหาก ล่าสุดทาง Sandia National Labs ได้ทำการรีวิวข้อเสนอของโปรเจคนี้ที่พวกเค้ายื่นเข้าไปและไม่มีเหตุผลใดที่จะปฎิเสธโปรเจคที่มีความเป็นไปได้โปรเจคนี้ แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือการหาเงินทุน 6 แสนล้านเหรียญต่างหากล่ะ



Credit : http://dailygizmo.tv/tag/superconducting-magnetic-levitationl/

ของหวานที่ทำให้คุณอิ่มได้โดยไม่ต้องทานจริงๆ



Vaportrim เป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่ช่วยลดน้ำหนักที่เพิ่งวางตลาด มันเป็นหลอดพลาสติกที่มีขนาดเท่ากับปากกาลูกลื่น เวลาใช้งานก็เหมือนกับบุหรี่ไฟฟ้าเพียงใช้ปากสูดลมหายใจเข้าไปเท่านั้นคุณก็จะได้ลิ้มรสชาติของหวานอันแสนโอชะโดยที่ไม่ต้องทานเข้าไปจริงๆ
ภายในหลอดพลาสติกจะบรรจุ ของเหลวที่เป็นน้ำและรสชาติเอาไว้ในรูปแบบของกลีเซอรีน (มีทั้งรสธรรมชาติและรสที่ประดิษฐ์ขึ้น) พร้อมด้วย atomizer อุปกรณ์ทำความร้อนขนาดเล็ก เมื่อคุณทำการสูดลมหายใจเข้าไปในปาก ของเหลวนี้ก็จะผ่าน atomizer เปลี่ยนมันให้กลายเป็นละออง เมื่อละอองนี้ผ่านเข้าไปในปากคุณก็แค่อมไว้ในปากสักครู่แล้วพ่นออกมาเหมือนกับการสูบบุหรี่ Vaportrim มีทั้งหมด 14 รสชาติ อย่างเช่น ราสเบอร์รี่ชีสเค้ก, นมช็อคโกแลต, วนิลาคัพเค้ก และ cinnamon bun เป็นต้น
หลักการทำงานของมันก็คือ เมื่อเราได้กลิ่นอะไรก็ตาม ต่อมรับรู้กลิ่นส่งข้อความไปยังสมอง แล้วสมองจะหลั่งฮอร์โมนออกมาเพื่อบอกร่างกายว่าอิ่มแล้ว ซึ่งงานวิจัยที่เชื่อถือได้ได้แสดงให้เห็นว่าความอยากอาหารและกลิ่นมีความเชื่อมโยงกันอยู่ กลิ่นสามารถใช้หลอกให้ร่างกายรู้สึกอิ่มได้ก่อนกระเพาะอาหารซะอีก
Vaportrim ไม่ได้มีการผสมสารเสพติดลงไป ส่วนผสมต่างๆก็อยู่ในเกณฑ์ FDA-GRAS (ว่าง่ายๆก็คือปลอดภัยนั่นแหละ) สนนราคาขายของ Vaportrim หนึ่งแท่งอยู่ที่ 9.95$ หรือประมาณ 300 บาทค่ะ


Credit : http://dailygizmo.tv/tag/vaportrim/

สแกนบาร์โค้ดล้าสมัยไปซะแล้ว



ทาง Toshiba Tec ได้พัฒนาเครื่องสแกนแบบใหม่ที่ทำให้เครื่องอ่านบาร์โค้ดแบบเดิมล้าสมัยไปในทันที แทนที่จะอ่านบาร์โค้ดที่ติดอยู่ข้างสินค้าเพื่อบอกว่าสินค้าชิ้นนั้นคืออะไรและมีราคาเท่าไหร่ แต่สแกนเนอร์ตัวใหม่นี้จะใช้ระบบจดจำสินค้าแทน ไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้สดหรือสิ้นค้าที่บรรจุอยู่ในกล่อง ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีความก้าวหน้ามากจนสามารถแยกแอปเปิ้ลจากบริษัทที่ต่างกันได้
การใช้สแกนเนอร์ตัวนี้จะช่วยให้ขั้นตอนการจ่ายเงินเร็วขึ้นกว่าระบบสแกนบาร์โค้ด และช่วยลดการใส่ข้อมูลด้วยตัวเองในกรณีที่สแกนบาร์โค้ดไม่ติด หรือสินค้าที่ลืมติดบาร์โค้ดค่ะ




Credit :  http://dailygizmo.tv/category/technologies/

รู้ไหมว่า ... แผ่นดินไหวญี่ปุ่นทำโลกเปลี่ยนไปอย่างไร




แบบจำลองแสดงความโน้มถ่วงที่พื้นผิวโลก สีแดงคือส่วนที่มีความโน้มถ่วงมาก ขณะที่พื้นที่สีฟ้ามีความโน้มถ่วงต่ำ (ESA/HPF/DLR)
ผ่านมา 1 ปีกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 9.0 แมกนิจูด จนเกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่ชายฝั่งตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น นอกจากจะส่งผลโดยตรงกับพื้นที่และผู้คนในแถบนั้นแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวยังส่งผลต่อโลกของเราอีกด้วย 
      
       ผลกระทบดังกล่าวไม่เพียงแค่แผ่ระนาบไปตามพื้นผิวโลก ยังดำดิ่งลึกลงไปถึงใต้พื้นทะเล และพุ่งแหวกชั้นบรรยากาศสูงขึ้นไปอีก ซึ่ง OurAmazingPlanet ได้รวบรวมข้อมูลไว้ว่าแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญีปุ่น ส่งผลอะไรเกิดขึ้นต่อโลกเราบ้าง


      
       1.วันสั้นลง 
      
       หลังจากเกิดเหตุแล้ว มีการตรวจพบว่า แผ่นดินไหวไปเร่งการหมุนของโลก ดังนั้นจึงทำให้โลกหมุนเร็วขึ้น ส่งผลให้เวลาหายไปวันละ 1.8 ไมโครวินาที (1 ในล้านส่วนวินาที)
      
       ริชาร์ด กรอส (Richard Gross) นักธรณีฟิสิกส์ ห้องปฏิบัติการจรวดขับดัน ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (NASA's Jet Propulsion Laboratory in Pasadena, Calif.) เป็นผู้คำณวนพบเวลาที่หายไป โดยบอกว่า ที่โลกหมุนเร็วขึ้น เพราะมวลของโลกเกิดการกระจายตัวออกไป หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว
      
       2. สนามโน้มถ่วงโลกเปลี่ยนไป
      
       แผ่นดินไหวครั้งนี้ทรงพลังมาก จนทำให้สนามโน้มถ่วงโลกในบริเวณนั้นเบาบางลงไป ซึ่งดาวเทียมเกรซ (Gravity Recovery and Climate Experiment: GRACE) ได้ตรวจจับ และพบว่าสนามโน้มถ่วงบริเวณนั้นอ่อน หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว
      
       3 ชั้นบรรยากาศสะเทือน
      
       แผ่นดินไหวขนาดยักษ์ไม่ใช่แค่เขย่าผิวโลก แต่ยังสะเทือนถึงชั้นบรรยากาศ
      
       ผลวิจัยชี้ว่า การเคลื่อนไหวที่พื้นผิวและสึนามิ ก่อให้เกิดคลื่นพุ่งสู่ชั้นบรรยากาศ โดยแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นก็พบแรงอนุภาคคลื่นที่พุ่งสูงขึ้นไปถึงชั้นไอโอโนสเฟียร์ ด้วยความเร็วประมาณ 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยนักวิทยาศาสตร์ตรวจพบความหนาแน่นของอิเล็กตรอนที่ชั้นดังกล่าว หลังจากเกิดแผ่นดินไหว 7 นาที นับว่าเป็นคลื่นพลังที่ใหญ่กว่าตอนเกิดแผ่นดินไหวที่สุมาตราเมื่อปี 2004 ถึง 3 เท่า

      
       4 ภูเขาน้ำแข็งทะลาย 
      
       ผลกระทบไม่ได้เกิดขึ้นแค่ชายฝั่งทะเล และพื้นที่ศูนย์กลางแผ่นดินไหวเท่านั้น แต่ความเสียหายสะเทือนไปไกลถึงภูเขาน้ำแข็งซัลซ์บอร์เกอร์ ที่มหาสมุทรแอนตาร์ติกา (Antarctica's Sulzberger) ซึ่งดาวเทียมสามารถตรวจจับคลื่นสนามเข้ากระแทก จนแตกออกมาเป็นก้อนน้ำแข็ง หลังจากเกิดแผ่นดินไหวไปแล้ว 18 ชั่วโมง
      
       5 ธารน้ำแข็งไหลเร็วขึ้น 
      
       ห่างออกไปจากชายฝั่งญี่ปุ่นนับพันกิโลเมตร คลื่นแผ่นดินไหวส่งผลต่อการไหลของธารน้ำแข็งวิลลานส์ (Whillans glacier) ในแอนตาร์ติกาให้เร็วขึ้นชั่วครู่ ธารน้ำแข็งนั้นปกติจะไหลเอื่อย เป็นทางเดินของเศษน้ำแข็งจากภายในทวีปออกสู่ทะเล ซึ่งสถานีจีพีเอสที่ขั้วโลก พบการเดินทางของน้ำแข็งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลานั้น
      
       6 แผ่นดินไหวขนาดเล็ก แพร่กระจายทั่วโลก 
      
       แผ่นดินไหวขนาด 9.0 ยังคงมีอาฟเตอร์ช็อกตามมาเป็นระยะ ไม่ใช่แค่เฉพาะในพื้นที่ศูนย์กลางเท่านั้น แต่ยังมีหลักฐานว่า แผ่นดินไหวญี่ปุ่นส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กรอบโลก และส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเขตแผ่นดินไหว เช่น ไต้หวัน, อลาสกา และใจกลางแคลิฟอร์เนีย โดยเหตุการณ์เหล่านี้จะมีขนาดไม่เกิน 3.0
      
       อย่างไรก็ดี ยังมีแผ่นดินไหวบางเหตุการณ์ที่เกิดในพื้นที่ที่ไม่อยู่บนแผ่นเปลือกโลก อย่างกลางเนบราสกา, อาร์คันซัส หรือใกล้กับปักกิ่ง และยังพบกันสั่นไหวในคิวบา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หวังว่าความเชื่อมโยงจากเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้สามารถเข้าใจวิธีการเกิดและผลกระทบของแผ่นดินไหวได้มากขึ้น
      
       7 พื้นทะเลแยก 
      
       แน่นอนว่าแผ่นดินไหวใหญ่ขนาดนี้ ย่อมต้องเกิดรอยแยก และโดยเฉพาะที่พื้นทะเลบริเวณชายฝั่งโตโกกุ ของญี่ปุ่นจนเป็นเหตุให้เกิดสึนามิตามมา หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวได้ 1 เดือน เรือดำน้ำได้ลงไปวัดรอยแยกที่พื้นทะเล พบว่ามีความกว้างถึง 1-3 เมตร