วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

สองศตวรรษที่ผ่านพ้น... กับเกียรติยศที่นักพฤกษศาสตร์หญิงเพิ่งจะได้รับ


สมัยก่อนวงการวิทยาศาสตร์คือดินแดนที่ผู้หญิงแทบจะไม่มีสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่เพียงแต่ถูกมองว่าเป็นของแปลกประหลาดเท่านั้น พวกเธอยังถูกกีดกันต่างๆ นานาทั้งจากสังคม, เพื่อนร่วมงาน, และม่านประเพณี
หนึ่งในเรื่องราวชีวิตนักวิทยาศาสตร์หญิงที่น่าสนใจ คือ เรื่องของ Jeanne Baret นักสำรวจและนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส และน่าจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เดินทางรอบโลก
ในปี 1766 ราชนาวีฝรั่งเศสมีประสงค์จะส่งเรือออกไปแล่นสำรวจรอบโลก และเปิดโอกาสให้ Philibert Commerson นักพฤกษศาสตร์ชื่อดังอาศัยขึ้นเรือไปด้วย
Philibert Commerson ได้รับอนุญาตให้เอาผู้ช่วยไปด้วย 1 คน เขาเองก็ไม่รู้จะไปมองหาผู้ช่วยที่ไหนนอกจากเพื่อนคู่ใจ Jeanne Baret ติดอยู่อย่างเดียวที่เธอดันเกิดมาเป็นผู้หญิงและธรรมเนียมในสมัยนั้นก็ไม่ยอมให้ผู้หญิงขึ้นไปเดินเล่นบนเรือสำรวจง่ายๆ
Jeanne Baret จึงต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อให้ได้ขึ้นเรือออกสำรวจโลกกว้าง เธอกับ Philibert Commerson ได้ช่วยกันเก็บตัวอย่างพืชมาศึกษามากมาย ว่ากันว่าเธอคือนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกคนแรกที่ค้นพบเฟื่องฟ้า (bougainvillea) และเก็บตัวอย่างจากประเทศบราซิลกลับมาแยกแยะ
ในชีวประวัติของเธอมีเล่าด้วยว่าครั้งหนึ่งเธอเคยเกือบถูกจับได้ว่าเป็นผู้หญิงปลอมตัวขึ้นมา เธอต้องแก้ตัวไปว่าเธอเป็นขันทีและพิสูจน์ข้ออ้างนั้นให้กัปตันเรือดู สำหรับผู้หญิงในสังคมเมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้ว การพิสูจน์เรื่องดังกล่าวคงน่าอับอายมากพอที่จะทำให้ตัดสินใจฆ่าตัวตายได้เลยทีเดียว
ตามธรรมเนียม การตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตจะตั้งตามชื่อผู้ค้นพบหรือผู้วิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์ดังๆ เพื่อเป็นการให้เกียรติ ชื่อนามสกุล Commerson ก็ได้รับเกียรติที่ว่าไปเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชหลายชนิด แม้แต่ชื่อของกัปตันเรือลำที่ Philibert Commerson อาศัยไปด้วยยังได้มาเป็นชื่อสกุลของเฟื่องฟ้าเลย (ชื่อของกัปตันเรือ คือ Louis Antoine de Bougainville)
แต่ชื่อของ Jeanne Baret กลับไม่เคยได้รับเกียรติยศอันใด แม้แต่การพูดถึงยังแทบจะไม่มีด้วยซ้ำ หลังจากที่ Philibert Commerson เสียชีวิตในการเดินทางเมื่อปี 1773 เธอแทบจะไม่เหลืออะไรติดตัวเลย เพราะทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงานกันตามประเพณี ต่อมาเธอก็แต่งงานกับทหารคนหนึ่งและกลับมาใช้ชีวิตในฝรั่งเศส เธอเสียชีวิตลงในปี 1807 นับจากนั้นทุกอย่างก็ถูกเลือนหายไปตามกาลเวลา
จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ Eric Tepe นักพฤกษศาสตร์แห่ง University of Utah และ University of Cincinnati ได้ฟังเรื่องราวของ Jeanne Baret จากรายการวิทยุของ Glynis Ridley แล้วเกิดความซาบซึ้งใจ จึงตั้งชื่อพืชสกุลมะเขือชนิดใหม่ที่เขาค้นพบว่า Solanum baretiae ตามชื่อนามสกุลของ Jeanne Baret
มีเรื่องเล่ากันว่า Philibert Commerson ก็เคยมีความคิดจะตั้งชื่อพืชชนิดหนึ่งตามชื่อของ Jeanne Baret ด้วยเหตุผลว่าใบของพืชชนิดนั้นมีรูปร่างแปรผันหลายแบบราวกับเป็นการเตือนให้ระลึกถึงการใช้ชีวิตอันหลากหลายของ Jeanne Baret น่าเสียดายที่พืชชนิดนั้นได้รับชื่ออื่นตัดหน้าไปเสียก่อน และ Philibert Commerson ก็ไม่มีโอกาสอีกเลยตลอดชีวิตของเขา
Eric Tepe ให้ข้อสังเกตว่า S. baretiae ที่เพิ่งค้นพบก็มีลักษณะใบที่หลากหลายเช่นกัน ดังนั้นเกียรติยศอันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ Jeanne Baret ทั้งภูมิใจและดีใจ แม้ว่าเธอจะไม่เคยคาดฝันถึงมันมาก่อนเลยก็ตาม
เพราะถึงอย่างไร มันก็คือเกียรติยศที่เธอสมควรได้รับมานานแล้ว
ที่มา http://jusci.net/node/2321

นาซ่าฟันธง 21 ธ.ค.2012 ไม่ใช่วันสิ้นโลก


จากกระแสเรื่องวันสิ้นโลก ตามปฏิทินของชาวมายัน ที่กล่าวกันว่าในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 จะเป็นวันครบรอบ 144,000 วันของวัฏจักรปฏิทินมายา ซึ่งได้วนซ้ำมาแล้ว 12 ครั้ง โดยในครั้งที่ 13 จะสิ้นสุดในวันดังกล่าว ซึ่งครบรอบ 5,200 ปีของตำนานสร้างโลก นอกจากนี้ ความเชื่อที่ว่าา ดาวนิบิรุ (Nibiru) หรือดาวเคราะห์เอกซ์ (Planet X) จะพุ่งชนโลก ตามคำกล่าวของ แนนซี ไลเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดาวนิบิรุ
ทั้ง นี้ ดอน ยีโอมานส์ ผู้จัดการโครงการวัตถุใกล้โลกจากห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน ขององค์การนาซ่า ได้ออกมากล่าวถึงข้ออ้างดังกล่าวว่า เรื่องของดาวนิบิรุเป็นเรื่องงมงาย เพราะไม่เคยปรากฏหลักฐานว่ามันมีอยู่จริง
นอก จากนี้หากจะเกิดเหตุการณ์ดาวพุ่งชนโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 จริง มนุษยชาติจะสามารถมองเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวได้ด้วยตาเปล่า ส่วนเรื่องที่ว่าดวงอาทิตย์จะตัดเข้าไปอยู่ด้านหน้าระนาบของกาแลกซีเรานั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำปีละ 2 ครั้งอยู่แล้ว ส่วนการตัดระนาบกาแลกซีจริงๆ ต้องใช้เวลาหลายล้านปี และหากเหตุการณ์เกิดขึ้นก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อโลก
ส่วนเรื่อง แรงโน้มถ่วงจากการเรียงตัวของดาวเคราะห์ที่จะส่งผลกระทบต่อโลกนั้น นายยีโอมานส์กล่าวว่า วัตถุที่มีผลกระทบต่อโลกในด้านแรงโน้มถ่วงนั้นมีเพียง “ดวงอาทิตย์” และ “ดวงจันทร์” เท่านั้น ซึ่งก็คือปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงนั่นเอง และตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 21 ธ.ค. 2012 จะไม่มีการเรียงตัวของดาวเคราะห์อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องพายุ สุริยะที่ส่งอนุภาคมีประจุมายังโลกนั้นจะทำให้เกิดแสงออโรโร่า และส่งผลกระทบต่อดาวเทียมและสายส่งไฟฟ้าได้ นายยีโอมานส์กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าจะเกิดพายุสุริยะรุนแรงในวัน ที่ 21 ธ.ค. 2012 นี้

โทรทัศน์ + ประตูวิเศษ (Postal TV)


เคยหรือเปล่าที่คิดว่าถ้าเราสามารถยื่นมือเข้าไปหยิบสิ่งของใน ทีวี ได้มันคงดีไม่ใช่น้อย แต่นั้นมันก็ยังคงเป็นแค่ฝัน แต่วันนี้มีทีวีที่คุณและเพื่อนสามารถล้วงมือเข้าไปทำกิจกรรมร่วมกัน แม้อยู่ไกลกันคนละซีกโลกได้

ทีวีประตูวิเศษ นี้ตอนนี้ยังเป็นสิ่งประดิษฐ์ต้นแบบนี้เป็นผลงานของนักศึกษาหญิงนามว่า Jayne Vidheecharoen จาก the Art Center College of Design ใน แคลิฟอร์เนีย(California) สหรัฐอเมริกาทีวีเครื่องนี้มีความพิเศษ คือมีช่องอยู่ด้านข้างที่สามารถให้คุณนำมือยื่นเข้าไปแล้วทำกิจกรรมเสมือน ร่วมกับบุคคลอื่นที่มีทีวีประตูวิเศษอีกเครื่อง ถ้าแม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละซีกโลกก็ตาม

ทีวีประตูวิเศษนี้จะมี 2 เครื่อง โดยแต่ละเครื่องจะมีลักษณะเป็นกล่องที่มีหน้าจะมีหน้าจออยู่ด้านหน้า ส่วนด้านข้างจะมีช่องสำหรับสอดมือเข้าไป ด้านในก็เป็นฉาก บลูสกรีน(green screen เป็นฉากสีน้ำเงิน หรือเขียวเพื่อให้พื้นหลังมีสีเดียวจะได้ง่ายในการลบฉากหลังออกแล้วแทนที่ด้วยภาพอื่น ฉากอื่นจาก)เมื่อสอดมือเข้าภาพมือในกล่อง ระบบจะลบฉากบลูสกรีนออกแล้วแทนที่ด้วยภาพจากเว็บ Google Streetview(เป็นส่วนเสริมใน กูเกิ้ลเมพ ที่จะทำให้เราดูแผนที่ในมุมมองเสมือนเราเดินอยู่บนถนนจริงสามารถหันซ้ายขวาหน้าหลังได้รอบตัว).
แต่ ที่มันพิเศษสุดๆก็คืออย่าลืมว่ามันมี ทีวีประตูวิเศษอยู่ 2 เครื่อง โดยทีวีทั้งสองเครื่องนี้ได้เชื่อมต่อกันเสมือนเป็น โลกคู่ขนาน ถ้ามีคนนำมือสอดเข้าไปในทีวีเครือง A ภาพก็จะไปปรากฏทั้งในทีวีเครื่อง A และ B ถ้ามีคนนำสิ่งของไปตั้งในทีวีเครื่อง A ภาพก็จะไปปรากฏที่หน้าจอของทั้งเครื่อง A และ B เสมือนเป็นพื้นที่กลางที่ทั้งสองสามารถใช้งานร่วมกันได้ถึงจะอยู่ไกลกันคนละซีกโลก อ่านแล้วอาจจะงง ดูคลิปการสร้างทีวีประตูวิเศษนั้นก็ทำจากวัสดุง่ายอาทิเช่น โฟม ผ้าเทป โคมไฟตั้งโต๊ะ โต๊ะหัวเตียง จอมอนิเตอร์(ผู้ประดิษฐทีวีประตูวิเศษบอกว่ายืมชาวบ้านมาด้วย) และกล้องเว็บแคมราคาถูกสุดที่หาซื้อได้ในคลิปจะมีการนำตุ๊กตาไปตั้งในทีวีประตูวิเศษ จากทั้งสองฝั่ง แต่มันก็ยังเป็นแค่โลกเสมือนการหยิบออกก็ทำได้เฉพาะตุ๊กตาของฝั่งตัวเอง ไม่สามารถไปหยิบตุ๊กตาของอีกฝั่ง


นักวิทย์เตือนพายุสุริยะ กระทบสัญญาณวิทยุช่วงปีใหม่



จักรวาล อวกาศ


           เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ รายงานเมื่อวันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า นักวิทยาศาสตร์เผยขณะนี้ได้เกิดพายุสุริยะระลอกใหญ่บนพื้นผิวดวงอาทิตย์ คาดอาจส่งผลกระทบต่อสัญญาณวิทยุ ระบบดาวเทียม และสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

           โดยนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์พยากรณ์อวกาศ แห่งองค์การจัดการมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศนานาชาติ ได้เปิดเผยว่า จะเกิดพายุสุริยะขนาด G1 บนพื้นผิวดวงอาทิตย์ ระหว่างวันที่ 28-29 ธันวาคมนี้ ซึ่งรังสีจากการพายุสุริยะครั้งนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อสัญญาณวิทยุในหลายพื้นที่บนโลก ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคมนี้ เลยทีเดียว


พายุสุริยะ
แสงออรอร่าเกิดจากอนุภาคมากับ พายุสุริยะ

           ในขณะเดียวกัน ยังมีการเปิดเผยอีกว่า คงจะดีไม่ใช่น้อยถ้าหากช่วงวันที่เกิดพายุสุริยะนี้ เป็นช่วงที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เพราะคนบนโลกอาจจะมีโอกาสได้เห็นปรากฎการณ์แสงเหนือแสงใต้ หรือ "ออโรรา (Aurora)" อันงดงามจากการเกิดพายุสุริยะในครั้งนี้

           อย่างไรก็ดี ข้อมูลทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงการคาดคะเนของบรรดานักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งหากปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ๆ ในช่วงนี้ รังสีจากพายุสุริยะก็อาจไม่มีพลังมากพอที่จะส่งผลกระทบใด ๆ กับโลกก็เป็นได้

           ทั้งนี้ ในปีนี้ถือว่ามีข่าวคราวเกี่ยวกับลมสุริยะออกมาให้เห็นกันได้บ่อย ๆ เนื่องจากในช่วงปีนี้เป็นช่วงเริ่มต้นที่ดวงอาทิตย์จะแผ่ความร้อนออกมามากที่สุด ตามวัฏจักรของดวงอาทิตย์ ที่จะร้อนที่สุดในทุก ๆ 11-12 ปี โดยมีการคาดกันว่า ดวงอาทิตย์จะเริ่มแผ่ความร้อนออกมามากขึ้น จนร้อนที่สุดในปี 2013 ก่อนจะค่อย ๆ แผ่ความร้อนน้อยลง เริ่มวัฏจักรใหม่ของมันอีกครั้ง



คลิป ความรู้เรื่อง พายุสุริยะ

 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Sunflower Cosmos

nasa เปิดเผยภาพภายในองค์กรณ์


ย้อนสำรวจ สิ่งที่คุณอาจไม่เคยได้ยิน รวมวิทยาการไอทีเด่น ปี54


ตลอดทั้งปี 2554 ที่ผ่านมา สำหรับสัปดาห์นี้นำข้อมูลมาจากนิตยสารวิทยาศาสตร์เล่มดังของสหรัฐอเมริกา
“ป๊อปไซเอินซ์” พาเราย้อนกลับไปทบทวนหัวข้อข่าวหลักๆ โดยเฉพาะความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอวกาศดังนี้
1.ควบคุม”ก๊าซเรือนกระจก”
       สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ หรือ “อีพีเอ” ออกกฎควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ โดยกฎดังกล่าวมุ่งเป้าบังคับใช้กับบรรดาโรงงานอุตสาหกรรม โรงกลั่นน้ำมัน และอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นหลัก นอกจากนี้ยังควบคุมรถนั่งส่วนบุคคลทุกคันในปี 2555 ต้องมีอัตราการปล่อยก๊าซที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบที่น้อยกว่า 263 กรัมต่อไมล์อีกด้วย
2.ปิดตำนานเอนเดฟเวอร์
       กระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ ของสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือ “นาซ่า” ปิดฉากตำนานการบินกับภารกิจ STS-134 ออกบินจากพื้นโลกไปยังสถานีอวกาศนานาชาติครั้งสุดท้าย ในวันที่ 16 พ.ค. 2554 ขณะที่นาซ่ามีแผนการส่งไม้ต่อภารกิจสร้างยานอวกาศรุ่นใหม่ไปให้เอกชนพัฒนาแทน แล้วใช้วิธีซื้อหรือเช่าเหมามาใช้งานแทน ตามนโยบายประหยัดงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐ
3.พลังงานมืด
       กล้องความละเอียดสูง 570 เมกะพิกเซล ที่ติดตั้งอยู่ในกล้องโทรทรรศน์วิกเตอร์ เอ็ม บลังโก ประเทศชิลี จับภาพแสงจากดาราจักร หรือกาแล็กซี กว่า 300 ล้านแห่งที่อยู่ไกลจากโลก 
ในกลุ่มรูปเหล่านี้อาจช่วยให้นักวิทยา ศาสตร์เข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับ “พลังงานมืด” หรือพลังงานลึกลับที่ทำให้เอกภพขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
4.ท่าอวกาศ
       “ท่าอวกาศ” แห่งแรกของโลก สร้างขึ้นใกล้กับเมืองอัพแฮม รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา มีทั้งตัวสถานี รันเวย์ อุปกรณ์ควบคุมการบิน-ดูแลความปลอดภัยสำหรับยานอวกาศครบครัน โดยผู้ที่เข้ามาบริหารงานคือ บริษัทเวอร์จิ้นกาแล็กติก ผู้พัฒนายานอวกาศวงโคจรต่ำ รุ่นสเปซชิพ 1-2 อันโด่งดัง หนึ่งในวัตถุประสงค์การก่อสร้างเพื่อรองรับธุรกิจ “ท่องเที่ยวอวกาศ” ที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะเฟื่องฟูในอนาคตอันใกล้
5.“จูโน”บุกดาวพฤหัสฯ
      “นาซ่า” ส่งยานพลังงานแสงอาทิตย์ “จูโน” ออกเดินทางจากโลกมนุษย์ของเรา เพื่อมุ่งหน้าไปสำรวจดาวพฤหัสบดี ซึ่งคาดว่าจะบินไปถึงราวๆ ปี 2559 
ภารกิจของจูโน ได้แก่ การตรวจวัดรังสีที่แผ่ออกมาจากชั้นบรรยากาศดาวพฤหัสฯ และประเมินว่ามีระดับออกซิเจนอยู่เท่าไรในดาวใหญ่ยักษ์ดวงนี้
6.ชาวโลกครบ 7 พันล้านคน
       โลกมีจำนวนประชากรมากกว่าเมื่อ 40 ปีก่อนถึง 2 เท่า นั่นคือราว 7 พันล้านคนในปัจจุบัน โดยมีเด็กเกิด 4 คนในทุกๆ 1 วินาที ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ มีค่าสถิติที่น่าสนใจระบุว่า ประเทศที่มีอัตราการเกิดถี่ที่สุดในโลกคือไนเจอร์ ขณะที่ค่าการเกิดน้อยที่สุดคือที่โมนาโก
7.จีนแบนบุหรี่
       ใครเคยไปประเทศจีนคงทราบว่าแดนมังกรนี้คนสูบบุหรี่จัดมาก เยอะมาก และสูบไปทั่วทุกที่ จนล่าสุดปีนี้เอง ทางการจีนต้องประกาศกฎเหล็กสั่งห้ามโฆษณาบุหรี่ และห้ามสูบบุหรี่ภายในอาคารสาธารณะโดยเด็ดขาด เพื่อสุขภาพของคนจีนเอง ทุกวันนี้ประชากรจีนวัยผู้ใหญ่ 1 ใน 4 หรือประมาณ 300 ล้านคนสูบบุหรี่ควันโขมง และผลพวงจากพฤติกรรมสิงห์อมควันก็ทำให้ทุกๆ ปี มีคนจีน 1 ล้านคนต้องจบชีวิต เพราะโรคจากพิษภัยบุหรี่
8.วัคซีนครอบจักรวาล
       สถานการณ์เชื้อไข้หวัดใหญ่มรณะหลายสายพันธุ์ผุดขึ้นบนโลกเราแทบทุกปี ส่งผลให้บริษัทยาเอกชน และห้องปฏิบัติการเภสัชกรรมของภาครัฐ หันมามุ่งวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้ได้ทุกสายพันธุ์ หรือผลิตวัคซีนสู้ไข้หวัดใหญ่แบบครอบจักรวาล ตัวอย่างเช่น ในปีนี้บริษัทโนวาร์ทิส เดินหน้าทดลองสร้างวัคซีนจากการเพาะเลี้ยงเชื้อไข้หวัดใหญ่ในเซลล์เพาะเลี้ยง แทนที่จะนำไปเพาะใน “ไข่ไก่” เหมือนเช่นในอดีต เพื่อให้การผลิตวัคซีนออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น นักวิจัยมหาวิทยาลัยเอมอรีและมหาวิทยาลัยชิคาโกยังศึกษาปรากฏการณ์ที่ผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดมรณะ เอช 1 เอ็น 1 (2009) มีภูมิคุ้มกันขึ้นมาด้วยตัวเอง เพื่อดูว่าจะนำมาต่อยอดใช้พัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่ได้อย่างไรบ้าง
9.หลอดไฟแอลอีดี
        หลอดไฟที่ผลิตมาจาก “ไดโอดเปล่งแสง” หรือ แอลอีดี กำลังจะกลายเป็นหลอดไฟประจำบ้านของพลเมืองโลก เพราะมีประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างดีกว่าหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ธรรมดาทั่วไป ตัวหลอดเองเมื่อทำให้เกิดแสงขึ้นจะกินกระแสไฟฟ้าน้อยมาก และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ประมาณ 50,000-100,000 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแอลอีดี วงจรขับกระแส สภาพภูมิอากาศ ความชื้น และอุณหภูมิ สุดท้ายคือไม่มีรังสีอินฟราเรด รังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนัง
10.ไซไฟ-ไฮเทค
กระแสภาพยนตร์ 3 มิติฮิตไปทั่วโลกตลอดปี”54 โดยหนังระทึกขวัญสามมิติโดยผู้กำกับฯ เจมส์ คาเมรอน เรื่อง “แซงทัม” ได้รับคำชมล้นหลาม บอกเล่าเรื่องราวของทีมนักดำน้ำที่ผจญภัยบุกเบิกถ้ำใต้น้ำในเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ทั้งเรื่องถ่ายในถ้ำโดยใช้กล้องพิเศษมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ห่อด้วยอุปกรณ์กันน้ำอย่างดี การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์กับความบันเทิงที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง
11.รถบินได้
       หลังจากใช้เวลาประดิษฐ์คิดค้นมาร่วมๆ 1 ทศวรรษ ในที่สุดรถยนต์บินได้รุ่นแรกของโลก “เทอร์ราฟูเกีย ทรานซิชั่น” ของบริษัทเทอร์ราฟูเกีย ก็ลงตัวออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และทดสอบวิ่งบนถนน รวมถึงบินบนฟ้าผ่านฉลุยแล้วในปีนี้ ขณะที่หน่วยงานคมนาคมสหรัฐก็อนุมัติให้ “เทอร์ราฟูเกีย ทรานซิชั่น” วิ่งสัญจรบนถนนเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการขออนุมัติใช้ขึ้นบิน สนนราคาคัน/ลำละ 200,000-250,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,000,000-7,500,000 บาท
12.“หัวใจเทียม”สมบูรณ์แบบ
       นักวิทยา ศาสตร์ฝรั่งเศสประกาศความสำเร็จในการพัฒนา “หัวใจเทียม” ที่ทำงานได้ด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ โดยแต่เดิมนั้นหัวใจเทียมต้องการการเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ภายนอกเพื่อตรวจสอบความดันเลือด แต่หัวใจรุ่นใหม่นี้มีเซ็นเซอร์ในตัวทำให้มันทำงานได้ด้วยตัวเองจริงๆ และมีจังหวะการเต้นสัมพันธ์กับการไหลเวียนโลหิตของร่างกายมนุษย์ ทั้งชิ้นส่วนยังผลิตจากเนื้อเยื่อสัตว์ผสมกับเนื้อเยื่อสังเคราะห์
13.สุดยอด”ซูเปอร์คอมพ์”
       ปี 2554 โลกได้เห็นโฉมหน้าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ที่ประมวลผลเร็วที่สุดในโลก รุ่น บลูวอเทอร์ส ของค่ายไอบีเอ็ม ซึ่งทำงานเร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันถึง 4 เท่า
อัตราการประมวลผลแรงมหากาฬ อยู่ที่ 10 quadrillion หรือ 10,000,000,000,000,000 รอบต่อวินาที
14.ปีแห่ง”แท็บเล็ต”
       นวัตกรรมไอทีพุ่งแรงไม่มีใครเกิน นั่นก็คือ เจ้า “แท็บเล็ตพีซี” บางเฉียบ พกพาสะดวก ช่วยให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตสะดวกสบาย ยี่ห้อดังเจ้าตลาดหนีไม่พ้น “ไอแพด” ของค่ายแอปเปิ้ล ส่วนที่จี้ตามมาติดๆ คือ แท็บเล็ตระบบแอนดรอยด์
15.สู่ยุค”ยานเอกชน”
       หนึ่งในบริษัทเอกชนที่ได้รับสัมปทาน ทำสัญญากับ “นาซ่า” ให้เข้ามาร่วมพัฒนายานอวกาศเอกชน เพื่อใช้เดินทางออกนอกโลกแทนกระสวยอวกาศ ก็คือบริษัทสเปซเอ็กซ์ ซึ่งสร้าง “ยานดราก้อน” ขึ้นมาใช้บินไปเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) นั่นเอง
16.สำรวจดาวพุธ
       “นาซ่า” ส่งยานเมสเซนเจอร์ ออกเดินทางในห้วงอวกาศนาน 6 ปี กระทั่งในปีนี้เองก็สามารถเริ่มต้นถ่ายภาพพื้นผิว “ดาวพุธ” ส่งกลับมายังพื้นโลก ซึ่งจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจที่ไปที่มาของดาวพุธมากยิ่งขึ้น ในฐานะที่ดาวดวงนี้เป็นดาวที่มีมวลหนาแน่นที่สุดในหมู่ดาวเคราะห์ทั้ง 9 ในระบบสุริยจักรวาล
17.บินด้วย”ชีวมวล”
       แนวคิดและการวางนโยบายนำเชื้อเพลิงประเภท Biofuel หรือชีวมวลมาใช้กับ “เครื่องบิน” ได้รับการพูดถึงอย่างจริงจังในปี 2554 หลายสายการบินชั้นนำของโลกเตรียมปรับเปลี่ยนระบบเครื่องยนต์ฝูงบินของตนให้เข้ากับเชื้อเพลิงชีวมวล ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยลดปริมาณการปล่อย “ก๊าซคาร์บอน” ออกสู่ชั้นบรรยากาศ ช่วยให้วิกฤต “โลกร้อน” ทุเลาเบาบางลง
18.พลังไฟฟ้า
ชัดเจนว่าโลกแห่งอนาคตนั้นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เป็นกระแสที่ต้องมาถึงและผลิตป้อนสู่ตลาดมากขึ้น ด้วยเหตุผลหลักจากปัญหาน้ำมันมีแนวโน้มแพงสาหัสยิ่งขึ้นทุกปี และยังเป็นพลังงานยุคเก่าที่สร้างมลพิษผ่านท่อไอเสียอีกด้วย สิ่งที่จะเกิดขึ้นควบคู่กับรถยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ปั๊มเติมไฟฟ้า และหัวจ่ายไฟตามท้องถนน ด้วยเทคโนโลยี ณ ปัจจุบัน การประจุไฟฟ้า 1 ครั้งจะทำให้รถวิ่งไปได้ 100 ไมล์(160 กิโลเมตร)

โซนี่โชว์ แบตเตอรี่ชีวภาพ ที่ทำงานเหมือน ระบบย่อยอาหาร


   


ถ่าน แบตเตอรี่ เป็นหนึ่งในขยะพิษ โซนี่จึงได้นำเสนอแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ที่มีขบวนการทำงานเหมือนระบบย่อยอาหารในสิ่งมีชีวิต
แบตเตอรี่ต้นแบบนี้ได้ถูกนำมาแสดงในงาน Eco-Products 2011 ในกรุงโตเกียว(Tokyo)
  • แบตเตอรี่ต้นแบบนี้ใช้เศษกระดาษเป็นเป็นแหล่งพลังงาน และสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้มากพอสำหรับ พัดลมขนาดเล็ก
  • แบตเตอรี่นี้ทำงานโดยใช้เอนไซม์ และเซลลูเลส(cellulase) ย่อยเซลลูโลส(cellulose) ให้กลายเป็นกลูโคส(glucose)ซึ่งเป็นน้ำตาลที่ แบตเตอรี่นี้ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการทำงาน ซึ่งทำให้พวกมันมีหลักการในการทำงานเหมือนระบบย่อยอาหาร
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2076132/Sony-develops-battery-runs-waste-paper.htm

10 สุดยอด สิ่งประดิษฐ์ แห่งปี 2011




Mthainews: ความก้าวหน้าในเรื่องวิทยาศาสตร์ของมวลมนุษยชาติยังคงก้าวดำเนินต่อไป ในหลายปีที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบัน เรามักจะเห็นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ บางอย่างเกิดจากอุปกรณ์ที่ได้จากอู่รถเก่าของพวกเขา บางคนมีความสุขที่ได้ประดิษฐ์ต่างๆ แต่ไม่ว่าจะเพื่อจุดประสงค์ใด นักประดิษฐ์เหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขามีแรงบันดาลใจ
เว็บไซต์ mnbc.com ได้เผยแพร่ภาพสิ่งประดิษฐ์ แห่งปี 2011 ซึ่งในปีนี้ 10 ผลงานถูกจัดอันดับไว้ดังนี้
1.มืออัจริยะ ของมาร์ค สตาร์ค เขาได้ประดิษฐ์มือเทียม ที่มีโครงสร้าง การทำงานได้เหมือนมือมนุษย์ สามารถหยิบจับแก้วน้ำ จับลูกบอลได้ ด้วยต้นทุนการผลิตที่ไม่มาก
เขาได้แรงบันดาลใจมาจาก เดวิด วอกท์ เพื่อนของเขาที่พิการแขนซ้ายมาแต่กำเนิด จึงเป็นที่มาของมือเทียมอัจริยะ ช่วยให้เขามีความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆอย่างเช่นตนอื่นๆได้อย่างสมบูรณ์
2.ถุงมือบอดี้การ์ด ป้องกันศัตรู เดวิด บราวน์ ได้ทำการประดิษฐ์ถุงมือที่ใช้ต่อสู้กับอาชญากร และสามารถจับกุมตัวผู้ร้ายได้ ซึ่งเขาได้แรงบันดาลใจมาจากการสนนทนากับเพื่อนของเขาจากข่าวที่มีผู้ถูกสิงโตภูเขาโจมตี ทำร้ายกัดร่างกายจนเสียชีวิต
เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าหากเรามีมีด หรืออาวุธที่ใช้ต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ได้ ก็จะดีไม่น้อยทีเดียว ถุงมือชิ้นนี้ มีน้ำหนักเบาไม่ถึง 3 ปอนด์ ห่อหุ้มด้วยวัสดุที่พัฒนาให้มีความแข็งแรงบริเวณข้อศอก ไม่เพียงแต่ใช้ป้องกันศัตรูเท่านั้น แต่ยังมีไฟฟ้าแรงดันสูง กล้องวีดิโอ แสงเลเซอร์ และไฟฉายรวมอยู่ด้วย เพื่อให้ถุงมือชิ้นนี้ทำงานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
3.เครื่องปรินท์ อเนกประสงค์ พัฒนาโดยนายอเล็กซ์ เบรตัน ผู้ซึ่งต้องการความสะดวกสบาย สามารถปรินท์เอกสาร หรือพิมพ์ข้อมูลต่างๆบนวัสดุที่แบนราบ เช่นไม้ พลาสติก
จุดเด่นของมันก็คือมีขนาดเล็ก น้ำหนักไม่ถึง 1 ปอนด์ พกพาได้ง่าย สะดวกสบาย
4.The Katal Landing Pad แผ่นป้องกันการเกิดอุบัติเหตุสำหรับนักเล่นสกี หลังจากที่แอรอน โคเรท นักเล่นสกีผาดโผน ประสบอุบัติเหตุระหว่างเล่นสกีหิมะเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา จนคอเป็นอัมพาต ทำให้เขาและ สตีเฟน เสลน ได้คิดค้นทำแผ่นขนาดใหญ่ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
โดยมันทำมาจากวัสดุที่เป็นไวนิล บรรจุลมที่มีความนุ่มและยืดหยุ่น และยังทำให้การเล่นสกีหิมะได้สนุกมากยิ่งขึ้น สิ่งประดิษฐ์ของพวกเขายังได้รับรางวัล Popular Science Invention Award in 2011 ด้วย
5.สุดยอดแว่นตากันแดด ไดนามิค อาย คริส มูลลิน ทำการคิดค้นประดิษฐ์แว่นตากันแดดแบบไดนามิก ประกอบด้วยเลนส์ “Dynamic Eye” สามารถป้องกันแสงแดดจ้าได้โดยที่ไม่ทำให้วัตถุที่มองเห็นมีสีหมองลง
ซึ่งแรงบันดาลใจในการประดิษฐ์เนื่องจาก แว่นกันแดดสว่นใหญ่ยังขาดฟังก์ชันการใช้งานอื่นๆ ที่เพียงแค่กันแสงรังสีต่างๆเท่านั้น
6.อุปกรณ์ป้องกันตัวเรือด ตัวเรือดที่ซุกซ่อนอยู่ตามเบาะที่นั่ง ที่นอน เป็นอันตรายสำหรับมนุษย์ โดยมันมักจะชอบดูดกินเลือดสัตว์และคนเป็นอาหาร ทำให้คริส กอกลิน คิดค้นประดิษฐ์เครื่องตรวจจับตัวดังกล่าว ซึ่งปกติจะหาตัวมันได้ยาก
เครื่องตัวนี้จะส่งสัญญาณหลังจากที่ตรวจพบกลิ่น ฟีโรโมนของมัน ทำหน้าที่คล้ายกับจมูกสุนัขดมกลิ่น ทั้งยังสามารถตรวจจับแมลงสาป และหนูได้ด้วยเช่นกัน
7.ปากกาตรวจภาวะการตั้งครรภ์ นักศึกษาจากวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้เห็นถึงข้อด้อยที่ว่า การตั้งครรภ์ใช้เวลานานกว่าจะรู้ผลว่า การตั้งครรภ์มีความผิดปกติหรือไม่ จะมีภาวะแทรกซ้อนอะไรขึ้น
ซึ่งพวกเขาได้ทำการประดิษฐ์ปากกาตรวจวัดการตั้งครรภ์ขั้นต้น ที่มีราคาถูก สามารถนำมาใช้ได้จริงตามสถานพยาบาลต่างๆ โดยการทำงานผู้ใช้จะขีดปลายปากกาลงบนหยดปัสสาวะ สีต่างๆจะสามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพื่อให้คุณแม่สามารถรู้ความผิดปกติ และรักษาได้อย่างเนิ่นๆ
8.เครื่องเปลี่ยนสิ่งปฏิกูลในยานพาหนะ ( Zero Liquid Discharge ) ด้วยการอ๊อกซิไดซ์ และการระเหยสิ่งปฏิกูลออกไป ให้กลายเป็นละอองของเหลว
เป็นประโยชน์สำหรับเครื่องยนต์อย่างเรือสำราญ ที่มีสิ่งปฏิกูลจำนวนมาก โดยไม่ต้องปล่อยลงสู่ทะเล
9.บอดี้บอร์ด ไฟฟ้า (body board) เจสัน วูดส์ ผู้ประดิษฐ์บอดี้บอร์ด ที่มีมอเตอร์ ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้รวดเร็ว ขณะโลดแล่นอยู่บนผิวน้ำ
โดยสามารถบังคับ ควบคุม โดยแฮนด์จับ
10.กระจกวิเศษ บอกอัตราการเต้นของหัวใจ หมิง เซีย ป้อ นักศึกษาด้านเทคโนโลยี ในแมสซาชูเซตส์ คิดค้นวิธีการวัดอัตราการเต้นของหัวใจด้วยการใช้กระจกสองด้าน แล้วใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และเว็บแคม ตรวจจับการสะท้อนของใบหน้า แปรผลออกมาผ่านกระจกด้านที่มีคนยืนอยู่