วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ถูกผีอำ' อยากรู้ว่าผีอำเกิดจากอะไร ไม่ได้เป็นผีจริงๆ ใช่ไหมคะ - จาก คนกลัวผี



ตอบ คนกลัวผี
ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ไขข้อสงสัยในวิทยาศาสตร์รอบตัว จากเว็บไซต์ สสวท. ว่า ความจริงแล้วอาการผีอำ คือ ล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าโดยเฉพาะหลังจากทำงานหรือดูหนังสือ แม้กระทั่งดูโทรทัศน์ เมื่อเข้านอนด้วยความล้า และเกิดการประสานกันระหว่างสารเคมีกับสภาพชีวเคมีของร่างกาย ทำให้เกิดอาการทั้งกดทั้งค้าง ทำให้เราขยับเขยื้อนไม่ไหว ในขณะนั้นความจริงแล้วกำลังตื่นอยู่ สมองทำงานได้ แต่ร่างกายเราขยับเขยื้อนไม่ไหว เหมือนมีคนมาจับเราอยู่ จึงคิดเลยเถิดว่ามีผีมาจับตัวเรา 
น.พ.เทอดศักดิ์ เดชคง นายแพทย์เชี่ยวชาญ กลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เขียนไว้ในเว็บไซต์ หมอชาวบ้าน ว่าผีอำเป็นปัญหาในการนอน เกิดอาการในสภาวะคล้ายๆ กับการฝัน ขณะที่ถูกผีอำคนๆ นั้นจะอยู่ในสภาวะที่ขยับตัวไม่ได้ 
สภาวะการหลับมี 2 ระยะ คือ non-REM เป็นช่วงที่หลับ แต่ตาไม่ได้กลอกไปมา ยังพอมีกำลังขยับตัวได้ พลิกตัวได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเราจะลุกขึ้นมาได้ แต่ในภาวะหลับตาแบบตากระตุก หรือ REM sleep จะมีการฝัน กล้ามเนื้อต่างๆ จะผ่อนคลายหมด ขยับตัวไม่ได้ยกเว้นต้องตื่นในช่วงเวลาเอง ถ้ามีสิ่งเร้าอะไรที่มาทำให้เราไม่สบาย เช่น อาจจะมีหมอนข้างมาวางอยู่บนตัวหรือขา หรืออาจจะนอนในท่าที่ไม่สบาย อยากจะออกจากสถานการณ์นั้น แต่ว่าทำไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อมันคลายไปหมดแล้ว ก็จะเป็นสภาวะที่รู้สึกเหมือนกับว่าใครมากดทับ สักพักหนึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง 
คนที่มีอาการ 'ผีอำ' ไม่ได้เป็นความผิดปกติทางจิตใจ แต่เป็นสิ่งที่บ่งบอกในเบื้องต้นว่าเริ่มมีภาวะความเครียด ซึ่งไม่ได้เกิดอาการนี้ทุกๆ วัน ยกเว้นบางคนที่เป็นมาก แสดงว่าปัญหาเยอะ แล้วมักจะเก็บไปฝัน ถ้าตื่นขึ้นมานิดหนึ่งก็จะรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้ ตกอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น 
วิธีการจัดการเมื่อถูกผีอำ คือ ผ่อนคลายความเครียดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง อย่าไปทำอะไรที่ตื่นเต้น เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกม อาจจะผ่อนคลายก่อนนอนด้วยการอาบน้ำอุ่น หรือดื่มนมอุ่นๆ โดยเฉพาะนมถั่วเหลือง จะทำให้หลับสบายขึ้น หรืออาจจะใช้วิธีสะกดจิตเข้าช่วยโดยการโปรแกรมจิตใหม่
รายที่อาการมากๆ แพทย์จะจ่ายยาคลายเครียดหรือยาต้านเศร้า จะทำให้หลับสนิทขึ้นโดยไม่ฝันมากนัก เพราะคนที่ผีอำจะฝันปนอยู่ด้วย เมื่อฝันน้อยลงจะลดอาการผีอำได้ 
หลักง่ายๆ เวลาโดนผีอำให้นอนเฉยๆ สักพักอาการจะหายไปเอง 
ผู้ใหญ่มักจะเตือนว่าอย่านอนตอนโพล้เพล้เพราะจะถูกผีอำ น.พ.เทอดศักดิ์บอกว่าในทางวิทยาศาสตร์เวลาเย็นๆ หรือโพล้เพล้เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของแสง การเปลี่ยนแปลงของแสงนั้นเป็นสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งที่ทำให้มีปัญหาในการนอน ถ้าเรานอนตอนกลางคืนหรือกลางวันไปเลยจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ถ้านอนช่วงโพล้เพล้อาจจะหลับไม่สบาย หลับไม่สนิท 
ผีอำ จึงไม่ใช่ผีเข้า อย่างที่เข้าใจผิดกันมา และสามารถแก้ไขได้โดยทำใจให้สบายก่อนนอน
รู้ไปโม้ด - nachart@yahoo.com

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตึกช้างเจ๋ง! ซิวที่ 4 ใน 20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก


เว็บไซต์ ซีเอ็นเอ็นโก ได้รวบรวม20 ตึกสูงที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดของโลก ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของนายยูจีน โคฮ์น ผู้ก่อตั้งสมาคมโคฮ์น พีเดอเซน ฟอก และนายไมเคิล กรีน ประธานคนปัจจุบัน ซึ่งได้ร่วมให้คำนิยามของตึกทั้ง 20 อันดับไว้ ดังนี้ 
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 1 คือ ตึกเอ็มไพรส์ สเตท ในรัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
ตึกนี้ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 1 ปี 45 วัน มีความสูง 437 เมตร งบประมาณก่อสร้าง 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1931
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 2 คือ ตึก CCTVสำนักงานใหญ่ ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
ตึกนี้เป็นตึกที่มีความโดดเด่นมากในปักกิ่ง สูง 234 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างเสร็จในเดือนมกราคม ปี 2008
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 3ได้แก่ ตึกสำนักงานใหญ่คอมเมิร์ซแบงก์ ในเมืองแฟรงค์เฟิร์ส ประเทศเยอรมนี
เป็นตึกที่สุงที่สุดในเยอรนีและสูงเป็นอับดับสองใน ทวียุโรป ด้วยความสูง 300.1 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 414 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างเสร็จในปี 1997
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 4 ได้แก่ ตึกช้าง กรุงเทพฯ ประเทศไทย
มีความสูง 102 เมตร สร้างเสร็จในปี 1997
ด้วยรูปลักษณ์ของช้าง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของคนไทย และเป็นสัตว์ที่อยู่ในประวัติศาสตร์ไทยด้วย และความสูงโดดเด่นทำให้ตึกช้างกลายเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ที่ผ่านไปมา แม้ว่าตึกช้างจะไม่ได้มีความสวยงามดังเช่นตึกอื่นๆที่ติดอันดับ แต่คงไม่ปฏิเสธว่าคนจะเหลือบมองทุกครั้งที่ผ่านไปแถวตึกช้าง
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 5 คือ ตึกไบเทกซ์โกไฟแนนเชียลทาวเวอร์ เมืองโฮจิมิน ประเทศเวียดนาม
เป็นตึกที่มีความเร็วของลิฟท์เป็นอับดับ 3 ของโลก ด้วยความเร็ว 7 ชั้นใน 1 วินาที มีความสูง 262 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2010
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 6 คือ พีรมิดทรานส์อเมริกา รัฐซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
สูง 260 เมตร งบประมาณก่อสร้าง 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อสร้างเสร็จในปี 1972
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 7 ได้แก่ ตึกธนาคารแห่งประเทศจีน ที่ฮ่องกง 
เป็นตึกแรกที่สูงที่สุดในโลก นอกเหนือจากตึกในสหรัฐอเมริกา สูง 305 เมตร ก่อสร้างเสร็จในเดือน พฤษภาคม ปี 1990
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 8 คือ คิงดอม เซ็นเตอร์ กรุงริาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย 
เป็นตึกที่สร้างไว้สำหรับผู้หญิง คือ มีธานาคและสุเหร่าสำหรับผู้หญิง มีความสูง 302 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งหมด 458 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างเสร็จในปี 2002
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 9 คือ ตึกแฝดปิโตรนาส กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
มีความสูง 452 เมตร ใช้งบก่อสร้างถึง 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน ปี 1996
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 10 คือ ตึกTokyo Mode Gakuen Cocoon Tower ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
เป็นตึกสถาบันการศึกษาที่สูงที่สุดเป็นอับดับ 2 ของโลก ด้วยความสูงถึง 204 เมตร สร้างแล้วเสร็จในเดือน ตุลาคม ปี 2008
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 11 ได้แก่ ตึกตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
เป็นตึกที่มีรูสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่ตรงจุดสูงสุดของตึกเพื่อลดความกดอากาศ มีความสูงถึง 492 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างเสร็จในเดือนสิงหาคม ปี 2008
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 12 ตกเป็นของ โรงแรมแกรนด์ลิสบัว มาเก๊า
เป็นตึกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากขนนกที่ประดับบนศีรษะหญิงสาวชาวบราซิล มีความสูง 261 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้างจำนวน 385 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2008
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 13 คือ ตึกบาห์เรน เวิล์ดเทรด เซ็นเตอร์ เมืองมานามา ประเทศบาห์เรน
เป็นตึกที่มีช่องลมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูง 240 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2008
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 14 ได้แก่ Two International Finance Center ฮ่องกง
เป็นตึกที่แสดงศักยภาพด้านการเงินของฮ่องกง มีความสูง 415 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อสร้างเสร็จในเดือน สิงหาคม ปี 2008
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 15 คือ โรงแรมบูร์จอัลอาหรับ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เป็นโรงแรมเดียวในโลกที่ได้รับมาตรฐาน 7 ดาว และเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดเป็นอับดับที่ 4 ของโลก ด้วยความสูงถึง 321 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งหมด 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม ปี 1999
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 16 คือ ตึกไทเป 101 กรุงไทเป ไต้หวัน
เป็นตึกที่สร้างเลียนแบบการเติบโตของต้นไผ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญงอกงามอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในวัฒนธรรมจีน มีความสูงถึง 508 เมตร ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2004
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 17 ได้แก่ ตึกโตรเล อักบา เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน
เป็นตึกที่สร้างเลียนแบบการพุ่งของน้ำพุร้อน มีความสูง 142 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2004

20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 18 คือ เบร์จคาลิฟา นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 
เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงถึง 828 เมตร และยังเป็นที่ตั้งของสุเหร่าที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งหมด 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในเดือนมกราคม ปี 2009
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
อันดับที่ 19 คือ เซนต์แมรี่ แอ็กซ์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เป็นตึกสูงทรงโค้ง มีเลนส์กระจกอยู่ที่บนยอดตึก มีความสูง 180 เมตร ใช้งบประมาณมากถึง 212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2003
20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก
และอับดับที่ 20 ได้แก่ ตึกเทิร์นนิ่ง ทอร์โซ เมืองเมลโม ประเทศสวีเดน
เป็นตึกทีได้รับแรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวของสัตว์และมนุษย์ มีความสูง 190 เมตร ใช้งบประมาณเพียง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2005

เครดิต :: http://news.mthai.com

ช้างเผือกคู่พระบารมี



 ตำราพระคชศาสตร์กำหนดลักษณะสำคัญ ๗ ประการของช้างมงคลไว้ว่า จะต้องประกอบด้วย
๑.ตาขาว
๒.เพดานปากขาว
๓.เล็บขาว
๔.ขนขาว
๕.พื้นหนังขาวหรือสีอ่อนๆ ออกแดงคล้ายหม้อใหม่
๖.ขนหางขาว
๗.อัณฑโกสขาว หรือสีคล้ายหม้อใหม่
ช้างที่มีลักษณะทั้ง ๗ ประการครบถ้วน เราเรียกว่า “ช้างสำคัญ”
ส่วนช้างที่มีลักษณะมงคลไม่ครบ จะเรียกว่า “ช้างประหลาด” หรือช้าง “สีประหลาด”
และหากช้างมีหนังดำ มีงาลักษณะเหมือนปลีกล้วย และมีเล็บดำ จะเรียกว่า “ช้างเนียม”
ซึ่งช้างทั้งสามประเภทนี้ ถือเป็นช้างคู่บารมีของพระมหากษัตริย์เท่านั้น ผู้ที่ครอบครองช้างประเภทใดจะต้องนำช้างนั้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นช้างทรงตามราชประเพณีที่ปฏิบัติกันมานานโดยเรามักจะเรียกช้างทั้งหมดรวมๆ กันว่าเป็น “ช้างเผือก”
ถือกันมาแต่สมัยโบราณว่า ช้างเผือกถือว่ามีศักดิ์สูงเทียบชั้นเจ้าฟ้า และสัตว์ที่นิยมนำมาเลี้ยงคู่กับช้างเผือก   มี ๒ ชนิด คือลิงเผือกและกาเผือก ถือกันว่าเป็นสัตว์คู่บุญของช้างเผือก จะช่วยป้องกันสิ่งอวมงคลที่จะมาสู่ช้างเผือกได้ และหากมีเหตุใดๆ เกิดขึ้นกับช้างเผือก จะเชื่อกันว่าเป็นลางร้าย
     ช้างเผือกที่ได้รับการขึ้นระวางเป็นช้างหลวงส่วนพระองค์พระมหากษัตริย์ จะเรียกกันว่า “ช้างต้น”              ซึ่งสมัยก่อน ช้างต้นมี ๓ ประเภทคือ
     ๑. ช้างศึกที่ใช้ออกรบ
     ๒. ช้างสำคัญที่มีลักษณะเป็นมงคลตามตำราคชลักษณ์แต่ไม่สมบูรณ์ทุกส่วน
     ๓. ช้างเผือกที่มีลักษณะถูกต้องตามตำราคชลักษณ์ทุกประการ
และจากที่ปัจจุบัน ไม่มีศึกสงคราม ทำให้ความต้องการใช้ช้างศึกเพื่อการสงครามไม่มี ช้างต้นในยุคปัจจุบัน       
จึงหมายถึงช้างเผือกที่มีลักษณะอันเป็นมงคลนั่นเอง


กำเนิดของช้าง ก็สามารถบ่งบอกถึงความเชื่อว่า หากครอบครองช้างตระกูลใด จะส่งผลในทางใดให้กับผู้ครอบครองอีกด้วย ซึ่งกำเนิดของช้างนี้ มีตำนานกล่าวขานกันว่า เมื่อพระนารายณ์เสด็จลงมายังพิภพแล้วได้เนรมิตดอกบัวให้เป็นโลก และได้แบ่งกลีบดอกบัวเป็น ๔ ส่วน นำไปถวายพระพรหม พระอิศวร พระวิษณุ และพระอัคนี และมหาเทพทั้ง ๔ ได้เนรมิตกลีบบัวทั้ง ๔ ให้เป็นช้าง ๔ ตระกูล ได้แก่
ตระกูลพรหมพงศ์
พระพรหมเป็นผู้สร้าง หากมีช้างในตระกูลนี้มาสู่พระบารมี เชื่อว่าจะให้ความเจริญทั้งทางวัตถุและวิทยาการต่างๆ แก่เจ้าของ
ลักษณะเด่นของช้างตระกูลนี้ คือมีเนื้อหนังอ่อนนุ่ม มีหน้าใหญ่ ท้ายต่ำ ขนอ่อนละเอียด เส้นเรียบ โขมดสูง คิ้วสูง น้ำเต้าแฝด มีกระเต็มตัว ขนที่หลังหู ปาก และขอบตามีสีขาว อกใหญ่ งามีสีเหลือง เรียวรัดงดงาม
ตระกูลอิศวรพงศ์
พระอิศวรเป็นผู้สร้าง เมื่อมีช้างตระกูลนี้มาสู่พระบารมี จะทำให้บ้านเมืองมีความเจริญด้วยทรัพย์และอำนาจ
ลักษณะเด่นของช้างตระกูลนี้ มีผิวกายดำสนิท งาอวบ งอน เสมอกันทั้งสองข้าง เท้าใหญ่ น้ำเต้ากลม คอย่นเมื่อเยื้องย่าง อกใหญ่ หน้าเชิด
ตระกูลวิษณุพงศ์
พระวิษณุเป็นผู้สร้าง เมื่อมีช้างตระกูลนี้มาสู่พระบารมีย่อมมีชัยชนะต่อศัตรู ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล ผลาหาร ธัญญาหารจะบริบูรณ์
ลักษณะเด่นช้างตระกูลนี้ มีผิวหนา ขนหนา เกรียน สีทองแดง อก คอ และคางใหญ่ หางและงวงยาว หน้าใหญ่ นัยน์ตาขุ่น และหลังราบ
ตระกูลอัคนิพงศ์
พระอัคนีเป็นผู้สร้าง ช้างตระกูลนี้เมื่อมาสู่พระบารมี บ้านเมืองจะเจริญด้วยมังสาหาร มีผลในทางระงับศึกอันพึงจะเกิดหรือเกิดขึ้นแล้ว และมีผลในทางระงับความอุบาทว์ทั้งปวงอันเกิดแก่บ้านเมืองและราชบัลลังก์
ลักษณะเด่นของช้างตระกูลนี้คือมีท่วงทีงดงาม เวลาเดินจะเชิดงวง อกใหญ่ ปลายงาทั้งสองจะโค้งพอจรดกัน มีสีเหลือง ขนสีขาวปนแดง และผิวกายมีสีใบตองตากแห้ง


ช้างเผือกคู่บารมีในรัชกาลที่ ๙
ในความเชื่อที่มีมาแต่โบราณของไทยถือว่าเป็นเครื่องเชิดชูเกียรติประดับบารมีของพระมหากษัตริย์ เมื่อมีช้างเผือกเข้ามาสู่พระบารมีจะทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทำพิธีสมโภชขึ้นระวาง พระราชทานนามเป็น "พระยาช้างต้น หรือนางพระยาช้างต้น" และให้ยืนโรงช้างประจำพระราชฐาน พระมหากษัตริย์พระองค์ใด มีช้างเผือกมาก จะเชื่อกันว่ามีพระบุญญาบารมีมาก สำหรับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ นี้ จวบจนถึงปัจจุบัน มีการพบช้างเผือก ๒๑ ช้าง ปัจจุบันเหลือ ๑๑ ช้าง ดังนี้
พระเศวตอดุลยเดชพาหน
ช้างเผือกเชือกแรกของรัชกาลที่9 ช้างต้นคู่พระบารมีพระเจ้าอยู่หัว คุณพระ พระเศวตอดุลเดชพาหนฯ?
ชื่อเต็มคือ พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนวนาถบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส บรมกมลาสนวิสุทธวงศ์ สรรพมงคลลักษณคเชนทรชาติ สยามราษฎรสวัสดิ ประสิทธิ์รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการ ปรมินทรพิตรสารศักดิเลิศฟ้า เป็น ช้างพลายเผือกโท ลูกเถื่อนตระกูล "พรหมพงศ์" จำพวกอัฏทิศ ชื่อว่า กมุท คล้องได้เมื่อปี ๒๔๙๙ ที่เมือง "กระบี่"โดยมีพล.ท.บัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย มีการสมโภชช้างนี้เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๑ และน้อมเกล้าฯ ถวายขึ้นระวางโรงช้างต้น พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๑๑ พ.ย. ๒๕๐๒ เริ่มยืนโรง ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา ในปี ๒๕๑๙ ปัจจุบันอายุกว่า ๕๐ ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระเศวต อดุลยเดชพาหนฯ จากโรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต มายืนโรง ณ โรงช้างต้น วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
พระเศวตวรรัตนกรี
ลูกช้างบ้านของราษฎรอำเภอสันกำแพง จงหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเมื่อผ่านการพิจารณาตรวจคชลักษณ์จากผู้ชำนาญของสำนักพระราชวังแล้ว พบว่า สมบูรณ์ด้วยศุภมงคลต้องตามตำราพระคชลักษณ์ โดยอยู่ในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฎฐคช ชื่อ "ดามพหัสดินทร์" สมควรขึ้นระวางเป็นพระยาช้างต้นตามราชประเพณี โดยช้างสำคัญนี้เกิดที่นครเชียงใหม่ ซึ่งได้ทรงสร้างพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ไว้เป็นที่ประทับ เสมอด้วยมีพระราชฐานประจำในนครนี้ ปัจจุบัน ล้มแล้ว
พระเศวตสุรคชาธาร
ลูกช้างพลายพลัดแม่ที่ราษฎรอำเภอรามัญ จังหวัดยะลา ได้นำมาเลี้ยงไว้ ก่อนจะพบว่ามีลักษณะมงคล ซึ่งเมื่อทางสำนักพระราชวังได้ตรวจสอบ พบว่าลูกช้างนั้นมีมงคลลักษณะถูกต้องตามคชลักษณศาสตร์ อยู่ในพรหมพงศ์ ตระกูลช้าง ๑๐ หมู่ ชื่อ “ดามพหัตถี” พระเศวตสุรคชาธารนับเป็นช้างต้นช้างที่สามในรัชกาลนี้ และยังเคยเป็นพระสหายของสมเด็จพระเทพฯ สมัยยังทรงพระเยาว์ เคยมีกล่าวถึงในบทพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ว่า เมื่อมีการเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปยังวังไกลกังวล หัวหิน คุณพระเศวตสุรคชาธารก็ได้โดยเสด็จฯ ด้วย ปัจจุบัน ล้มลงแล้ว
พระศรีเศวตศุภลักษณ์
ช้างพังเผือก ลูกเถื่อน คล้องมาได้จากจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นช้างตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อดามพหัสดินทร์ ปัจจุบันกรมป่าไม้เป็นผู้ดูแล
พระเศวตภาสุรคเชนทร์
เดิมชื่อภาศรี เป็นช้างพลายเผือก ลูกเถื่อน ของราษฎรในเขตอำเภอท่ายาง เพชรบุรี เมื่อมีการตรวจสอบพบว่ามีคชลักษณ์ถูกต้องตามตำราคชลักษณศาสตร์ อยู่ในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฎฐคช ชื่อ "ดามพหัสดินทร์" จึงได้ขึ้นระวางสมโภชเป็นช้างสำคัญพร้อมกันทีเดียวถึง ๓ เชือก คือพร้อมกับพระบรมนขทัศ และพระเทพวัชรกิริณี ปัจจุบันอายุ ๓๐ ปี อยู่ในความดูแลของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง
พระเศวตสุทธวิลาส
ช้างพลายเผือกลูกเถื่อน คล้องมาได้จากจังหวัดกาญจนบุรี เป็นช้างตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อดามพหัสดินทร์ ปัจจุบันอายุเกือบ ๓๐ ปี อยู่ในความดูแลของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง
พระเทพวัชรกิริณี
เดิมชื่อพังขวัญตา เป็นลูกช้างหลงโขลง ชาวบ้านที่ไปตัดไม้ในเขตหัวหินไปพบเข้า จึงจับมาส่งให้กำนันตำบลเขาย้อย ก่อนจะนำไปถวายวัดและเลี้ยงมาคู่กันกับพลายดาวรุ่ง ต่อมาเมื่อมีการตรวจสอบพบว่า พังขวัญตาเป็นช้างสำคัญมีมงคลคชลักษณ์ถูกต้องตามตำราคชลักษณศาสตร์ อยู่ในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฎฐคช ชื่อดามพหัสดินทร์ ซึ่งตำราระบุว่าสมควรขึ้นระวางสมโภชเป็นพระราชพาหนะ เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศชาติ
พระวิมลรัตนกิริณี
ช้างพังเผือก ลูกเถื่อน คล้องมาจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นช้างตระกูลพรหมพงศ์ จำพวกอัฏฐทิศ ชื่อกมุท อายุ ๒๙ ปี ปัจจุบันอยู่ที่โรงช้างต้น พระราชวังภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร
พระศรีนรารัฐราชกิริณี
ช้างพังเผือก ลูกเถื่อน คล้องได้จากจังหวัดนราธิวาส พลัดกับแม่บนเทือกเขากือชา เป็นช้างตระกูลพรหมพงศ์ พวกอัฏฐทิศ ชื่ออัญชัน อายุ ๒๙ ปี ปัจจุบันอยู่ที่โรงช้างต้น พระราชวังภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร
พระบรมนขทัศ
เดิมชื่อพลายดาวรุ่ง พบโดยราษฎรที่อำเภอปราณบุรี มีลักษณะพิเศษคือเล็บครบ เมื่อสำนักพระราชวังส่งผู้ชำนาญไปตรวจคชลักษณ์ พบว่า พลายดาวรุ่งเป็นช้างสำคัญที่หาได้ยาก เกิดในตระกูล "วิษณุพงศ์" จำพวก "อัฎฐคช" ชื่อ "ครบกระจอก" ซึ่งตำราคชลักษณศาสตร์นิยมว่า อุบัติมาเพื่อบุญญาธิการของพระมหากษัตริยาธิราช ควรแก่การสมโภชขึ้นเป็นพระราชพาหนะ จะบังเกิดสวัสดิมงคลแก่ประชาราษฎร์ 
ยิ้มเปิดปาก นอกจากนี้ยังมีช้างสำคัญที่ยังไม่ได้ขึ้นระวาง ดังนี้
๑.แก้วขาว
ช้างพลายเผือก ลูกบ้าน คล้องได้จากจังหวัดเชียงใหม่
๒.ก้อง
คล้องได้จากจังหวัดชลบุรี
๓.พลายวันเพ็ญ
คล้องได้จากจังหวัดเพชรบุรี อายุประมาณ ๓๑ ปี ขณะนี้อยู่ในความดูแลของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง
๔.พลายยอดเพชร
คล้องได้จากจังหวัดเพชรบุรี อายุเกือบ ๓๐ ปี ขณะนี้อยู่ในความดูแลของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง
๕.พังมด
อายุ ๒๐ ปี คล้องได้จากจังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันอยู่ที่โรงช้างต้น พระราชวังภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร
๖.ขวัญเมือง
 คล้องได้จากจังหวัดเพชรบุรี มีอายุเกือบ ๓๐ ปี ขณะนี้อยู่ในความดูแลของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง
๗.พลายทองสุก
อายุประมาณ ๓๑ ปี ขณะนี้อยู่ในความดูแลของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง

เครดิท  raorakหัวใจสีแดงprajaoyuhua  เรารักพระเจ้าอยู่หัวยิ้ม

ไว้อาลัยแด่ Steve Jobs








Apple ออกแถลงการณ์ว่า สตีฟ จ็อบส์ เสียชีวิตแล้ว
วานนี้  (5 ตุลาคม 2011) ในวัย 56 ปี
ด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนที่เรื้อรังมานาน
ร่วมไว้อาลัย สตีฟ ได้ที่นี่


          สตีเฟน พอล "สตีฟ" จอบส์ (เกิด 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955) เป็นผู้นำธุรกิจและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน อดีตประธานกรรมการบริหารของแอปเปิลคอมพิวเตอร์ และยังเคยเป็นประธานกรรมการบริหารพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นคณะกรรมการบริหารบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ใน ค.ศ. 2006 หลังดิสนีย์ซื้อกิจการพิกซาร์
         เขาร่วมก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์กับ สตีฟ วอซเนียก ใน ค.ศ. 1976 เป็นผู้มีส่วนช่วยทำให้แนวความคิดเรื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยมขึ้นมา ด้วยเครื่อง Apple II ต่อมา เขาเป็นผู้แรกที่มองเห็นศักยภาพทางการค้าของส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์และเม้าส์ ที่ถูกพัฒนาขึ้นในศูนย์วิจัยซีร็อกซ์พาร์ค ของบริษัทซีร็อกซ์ และได้มีการผนวกเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไว้ในเครื่องแมคอินทอช หลังพ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจกับคณะกรรมการบริหารใน ค.ศ. 1984 จอบส์ลาออกจากแอปเปิลและก่อตั้งเน็กซ์ บริษัทพัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะในการศึกษาขั้นอุดมศึกษาและตลาดธุรกิจ การซื้อกิจการเน็กซ์ของแอปเปิลใน ค.ศ. 1996 ทำให้จอบส์กลับเข้าทำงานในบริษัทแอปเปิลที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นนั้น และเขารับหน้าที่ CEO ตั้งแต่ ค.ศ. 1997 ถึง 2011 จอบส์ยังเป็นประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูงของพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ ทั้งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ 50.1% กระทั่งบริษัทวอลต์ดิสนีย์ซื้อกิจการไปใน ค.ศ. 2006 จอบส์เป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุดของดิสนีย์ที่ 7% และเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารของดิสนี


ก่อตั้งแอปเปิล
          จอบส์ได้กลับมายังมลรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้เริ่มเข้าประชุมชมรม "เครื่องคอมพิวเตอร์ทำเองที่บ้าน" กับ สตีฟ วอซเนียก จากนั้นก็สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิคที่ อาตาริ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และวิดิโอเกมส์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ตลอดช่วงเวลานี้ มีการค้นพบว่านกหวีดของเล่นที่แถมมาในกล่องอาหารเช้าทำจากธัญพืชยี่ห้อแคปแอนด์ครันช์ ทุกกล่อง เมื่อนำมาดัดแปลงเล็กน้อยแล้วจะสามารถทำเกิดเสียงความถี่ 2,600เฮิร์ทซ์ ที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ทางไกลของเอทีแอนด์ทีได้ โดยไม่รอช้า ในปีค.ศ. 1974จอบส์กับวอซเนียกได้เริ่มธุรกิจผลิตกล่อง "บลูบ็อกซ์" จากแนวความคิดดังกล่าวอันทำเราสามารถโทรศัพท์ทางไกลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
          ในปีค.ศ. 1976 สตีฟ จอบส์ในวัย 21 ปี กับสตีฟ วอซเนียก วัย 26 ปี ได้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ขึ้น ในโรงรถที่บ้านของครอบครัวจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่องApple I มันถูกตั้งราคาไว้ที่ 666.66 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนำตัวเลขมาจากหมายเลขโทรศัพท์ของเครื่องตอบโทรศัพท์เล่าเรื่องตลกขบขันของวอซเนียก ที่มีเบอร์โทรลงท้ายด้วย -6666
          ในปีค.ศ. 1977 จอบส์กับวอซเนียก ได้นำเครื่อง Apple II ออกสู่ตลาด และประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดคอมพิวเตอร์ใช้งานในบ้าน และทำให้แอปเปิลกลายเป็นผู้ผลิตรายสำคัญในวงการอุตสาหกรรมเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในเดือนธันวาคม ปีค.ศ. 1980 แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้กลายมาเป็นบริษัทมหาชน และการเปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนผู้สนใจร่วมลงทุน ทำให้สถานภาพส่วนตัวของจอบส์สูงส่งขึ้นเป็นอันมาก ในปีเดียวกันนี้เอง แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้นำเครื่อง Apple III ออกวางตลาด แต่กลับประสบความสำเร็จน้อยกว่าเดิม
          ในขณะที่ธุรกิจของแอปเปิลกำลังเติบโตต่อไป บริษัทได้เริ่มมองหาผู้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจเพื่อมาช่วยในการขยายกิจการ ในปีค.ศ. 1983 จอบส์ได้ว่าจ้าง จอห์น สกัลลีย์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเป็บซี่-โคล่า ให้มาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล โดยที่จอบส์ได้กล่าวท้าทายเขาว่า "คุณต้องการจะใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ไปกับการขายน้ำหวาน หรือว่าต้องการโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้กันแน่?" ในปีเดียวกัน แอปเปิลยังได้เปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ลิซา ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จทางการตลาดแต่อย่างใด
          ในปีค.ศ. 1984 เราได้เห็นการเปิดตัวเครื่องแมคอินทอช เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ที่ประสบความสำเร็จทางการค้า การพัฒนาเครื่องแมคริเริ่มขึ้นโดย เจฟ ราสคินและทีมงานที่ได้แรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยซีรอกซ์พาร์ก แต่ยังไม่มีการนำมาพัฒนาเพื่อการค้า ความสำเร็จของเครื่องแมคอินทอช ทำให้แอปเปิลเลิกพัฒนาเครื่อง Apple II เพื่อส่งเสริมสายการผลิตเครื่องรุ่นแมค ซึ่งยังคงยืนหยัดมากระทั่งทุกวันนี้


ขอให้ดวงวิญญาณของ Steve Jobs ไปสู่สวงสวรรค์ ขอจงเป็นที่กล่าวขาล และจงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ และรุ่นต่อๆ ไป ตลอดกาล
พวกเราชาว Unigang.com ขอระลึกให้ Steve Paul Jobs ไว้เป็นไอดอลและแรงบันดาลใจตลอดไป
There is no reason not to follow your heart

โรงเพาะชำ พืช ผัก ยักษ์



บทความนี้ไม่ใช่บทความ การ์ตูนโปเกม่อน แต่ ถ้าคุณเดินเข้าไปยังโรงเรือนเพาะชำ แล้วพบต้นหอมที่มีใบใหญ่เท่าใบปาร์ม หัวสวีดที่ใหญ่กว่าหัวของคุณ คุณคงคิดว่านี้ฝันไปหรือเปล่าแน่ๆ 
  • เจ้าของ มอสเตอร์พืชผักเหล่านี้คือนาย Joe Atherton ชาวเมือง Mansfield Woodhouse, Nottinghamshire ประเทศอังกฤษ
  • โจ ทุ่มเทเวลาทั้งปี เพื่อดูแลพืชผลของเขาวันละ 7 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อให้ได้ผักที่ใหญ่โตจนเหมือนหลุดมาจาก ภาพยนตร์
  • โจ เป็นเจ้าของตำแหน่ง แครอทยาวที่สุด คือวัดได้ยาว 19 ฟุต 2 นิ้ว(5.84 เมตร) ในปี 2007 และในปี 2001 เขายังเป็นเจ้าของตำแหน่ง ต้นหอมหนักที่สุดคือหนัก 6.6 กิโลกรัม
  • โจ ใช้เวลากว่า 15 ในการปรับปรุง ผสมพันธุ์ให้ได้ มอนสเตอร์พืชเหล่านี้ขึ้นมา และที่สำคัญเขากล่าวว่าสิ่งทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้ก็คือเมีย หากไม่มีเมียที่ดีคอยอยู่เบื้องหลังเขาคงเดินมาไม่ได้ถึงขนาดนี้
      อันนี้หัวสวีด ของ โจ เปรียบเทียบกับหัวสวีดธรรมดาของเด็กสาว
       
       
       
      อันนี้หัวหอมของผมเองครับ (แถวบ้าน Admin DEN หัวขนาดนี้เขาเรียกแตงโม)
       
      อันนี้ต้นหอม หรือ กอกล้วยกันแน่
       
       
       
       
       
      อ้างอิง
       
      http://www.dailymail.co.uk/news/article-2032553/The-land-giant-vegetables-Inside-greenhouse-home-monster-onions-swedes-big-head.htm




      Credit :  http://wowboom.blogspot.com/