วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทำไมนาซีถึงต้องฆ่าชาวยิว



ยิว เป็นชนที่ไม่มีแผ่นดินแต่ไหนแต่ไรแล้ว เป็นชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่แถบชายแดนของปาเลสไตล์ เมื่อประชากรยิวเพิ่มมากขึ้น จนเกิดปัญหาเรื่องที่อยู่ บางประเทศจึงโอบอุ้มเข้าไปในประเทศ และประเทศที่รับเข้าไปเยอะที่สุดคือเยอรมัน หลาย สิบปีผ่านไปยิวเพิ่มจำนวนขึ้นนับสิบล้านคน แต่นั่นก็ไม่มีอะไรน่าห่วง แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ยิวต้องการที่จะหาประเทศเป็นของตัวเอง ในตอนนั้นเป้าหมายก็คือเยอรมัน ยิวได้แทรกซึมไปอยู่ทั่วเยอรมัน ที่เหลือก็แค่ทำให้เยอรมันล่มสลาย

ชาวยิวในดินแดนอารเบียที่ยังเหลืออยู่บางส่วน

 คน ยิวมีความฉลาดหลักแหลม พวกเขาเริ่มจากการฟิตเด็กของยิวทุกคนให้เรียนเก่ง ใช้มาตรการเข้มงวดมาก ถ้าใครสอบตกคือตาย เฝ้าปลูกฝังความคิดล้มล้างประเทศเยอรมัน เมื่อเด็กโตขึ้น ก็ส่งเข้าไปทำงานในทุกธุรกิจของเยอรมัน แล้วทำการซื้อหุ้น ที่ดิน และกิจการรัฐ  โดยเฉพาะธุรกิจรถยนต์ ซึ่งตอนนั้น เยอรมันเป็นผู้ผลิตรายแรกที่ส่งรถยนต์ออกขาย  นานเข้ายิวทำเกือบสำเร็จ ทุกธุรกิจมียิวเป็นเจ้าของ ยกเว้นทางด้านการทหาร แต่เมื่อนายพล อะดอฟ ฮิตเลอร์ รู้ เข้าถึงแผนนี้ของชาวยิว ที่ตัวเขาเองก็แทบจะไม่เคยสังเกตเลยว่า เยอรมันกำลังโดนกลืนเกือบจะหมดแล้ว เมื่อเยอรมันล่วงรู้ถึงแผ่นการนี้แล้วมีหรือที่ มหาอำนาจอย่างเยอรมันจะอยู่นิ่งเฉย เล่นโดนชนกลุ่มน้อยอย่างยิวเหยียบหน้าแบบไม่รู้ตัวแบบนี้  และแล้วการล้างเผ่าพันธ์ยิวก็เกิดขึ้น แบบว่าอยู่ในประเทศให้เค้าฆ่าเลย ใครก็ช่วยไม่ได้ เพียง 2 ปี ประชากรยิวนับสิบๆล้าน เหลือเพียงไม่กี่แสน จำนวนนั้นก็อพยพออกนอกประเทศ (หนึ่งในจำนวนยิวผู้รอดไปคือ อัลเบิตร์ ไอน์สไตน์ นี่คือหลักฐานว่า ยิวฟิตเด็กให้ฉลาดแค่ไหน) แล้วการยึดครองของยิวก็ล้มเหลว


 นี้ เป็นแค่เพียงด้านหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทุกอย่างมีเหตุมีผลของมัน แต่ภาพการเค้นฆ่าคนยิวอย่างโหดร้ายก็ทำให้ฮิตเลอร์และนาซีถูกมองว่า เป็นมนุษย์ที่ไม่มีหัวใจ ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเลือดเย็น แต่ในความรู้สึกของพวกเขา สิ่งเหล่านี้อาจเป็นหน้าที่ที่พวกเขาต้องทำก็ได้  แต่สงคราม มันไม่มีใครถูก มีแต่ความสูญเสีย เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อนำไปใช้ปรับปรุงและแก้ไข ไม่ใช่เดินตามให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ถ้าเรารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ดี ไม่เกิดประโยชน์แต่ยังคงทำตามก็ไม่ต่างกับคนที่ ไม่มีการพัฒนา

  


  ข้ออ้างของอิสราเอลในปัญหาปาเลสไตน์ปัจจุบัน นั่นก็เป็นอาการของ “คนที่ไม่ยอมรับความจริง” มี ศาสตราจารย์ยิวผู้หนึ่งชื่อ Ilan Pappe แห่งมหาวิทยาลัย Haifa บรรยายว่า รัฐอิสราเอลเกิดขึ้นมาบนพื้นฐานของ "การไม่ยอมรับความจริง" เขาเริ่มเรื่องนับแต่ปี 1948 ที่ซึ่งเกิดการแย่งชิงกันระหว่างชนสองชาติบนแผ่นดินเดียวกัน 


เด็กชาวปาเลสไตน์โดนสังหารอย่างเ***้ยมโหด“ใน ปีดังกล่าว ไซออนิสต์ ขบวนการชาตินิยมของยิวได้บรรลุถึงจุดสำคัญในประวัติศาสตร์ หลังจากที่พวกเขาต้องถูกเนรเทศไปนานถึง 2,000 ปี ชาวยิวได้รับสิทธิในการปกครองตนเองบนดินแดนปาเลสไตน์และได้รับการยอมรับจาก นานาชาติ” 

 แต่ในปีเดียวกันนั่นเอง ชาวยิวซึ่งไฝ่ฝันมานานที่จะมีแผ่นดินของตนเอง ได้ ประกอบอาชญากรรมต่อชนพื้นเมืองปาเลสไตน์ หมู่บ้านกว่า 500 แห่ง เมือง 11 เมือง ถูกทำลาย และชาวปาเลสไตน์กว่า 750,000 ชีวิต ต้องถูกขับไล่และลบล้าง (Ethnic Cleansing) ออกจากแผ่นดินของตนเอง 

“ใน บันทึกของชาวยิว น้อยคนที่จำมันได้หรือไม่ต้องการที่จะจำมัน” ทั้งในสื่อ ระบบการศึกษาและระบบการเมืองของอิสราเอล ประชาชนเรียกปี 1948 ว่า เป็น “ปีแห่งเอกราช หรือเวลาแห่งการสิ้นสุดที่ชาวยิวต้องพรักพราดจากแผ่นดินนานนับ 2,000 ปี” แต่ ในอีกด้านหนึ่งของความยินดีปรีดานี้ มันคือการถูกทำลายล้างของชาวปาเลสไตน์ ชนพื้นเมืองของที่นี่ เรื่องราวเหล่านี้ “ ถูกลบออกไปเสียสิ้นจากความทรงจำของชาวอิสราเอล” เขา ยังกล่าวด้วยว่า ในตำราประวัติศาสตร์ของยิว เรื่องราวนี้จะถูกลบและแทนที่ด้วยเรื่องราวที่ตรงกันข้ามเลยว่า จริงๆแล้วรัฐยิวยอมรับชาวปาเลสไตน์ ต้องการให้ชาวปาเลสไตน์อยู่ด้วยกัน แต่เพราะผู้นำชาติอาหรับอื่นๆต่างหากที่เรียกร้องให้ชาวปาเลสไตน์อพยพออกมา ขณะที่ชาวยิวเรียกร้องให้ชาวปาเลสไตน์อยู่ โดยยืนยันถึงความปลอดภัยของเขา

 เขา กล่าวว่า อิสราเอลไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับความจริงในเหตุการณ์ปี 1948 เท่านั้น แต่ยังไม่ยอมรับความจริงในเหตุการณ์สำคัญหลังจากนั้นอย่างน้อยอีก 3 ครั้ง นั่นก็คือ การยึดครองเขตเวสแบงค์และฉนวนกาซ่า การลุกฮือของชาวปาเลสไตน์ในปี 2000 และการที่ชาวปาเลสไตน์ต้องตกเป็นเหยือของความรุนแรงที่ก่อขึ้นโดยอิสราเอล โดยเฉพาะนับแต่เดือนเมษายน ปี 2002 เป็นต้นมา 

 

มัน เป็นอย่างนี้ จนกระทั่งถึงทศวรรษที่ 80 เมื่อเขา และนักประวัติศาสตร์คนอื่นๆ อย่าง Benny Morris ได้นำความจริงมากล่าวต่อชาวอิสราเอล ทำให้ชาวยิวได้ฟังเรื่องราวที่แตกต่างออกไปจากที่พวกเขาเคยได้ยิน มันเป็นสิ่งที่ชาวปาเลสไตน์เล่าขานกันมานับแต่ปี 1948 แล้ว อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ถูกเปิดเผยต่อชาวยิวไม่ได้รับการตอบสนองมากนักเนื่องจากโฆษณาชวน เชื่อที่เป็นระบบของไซออนิสต์นั่นเอง


 ใน ตอนเริ่มแรก, Pappe ระบุ, เขตยึดครอง (ฝั่งตะวันตกและฉนวนกาซ่า) ซึ่งเป็นครอบคลุมพื้นที่เพียง 20% ของดินแดนปาเลสไตน์ในอดีต ได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้ายแ ละโหดเ***้ยมจากอิสราเอล บ้านเรือนถูกทำลาย ประชาชนถูกขับไล่และและถูกฆ่า แต่สิ่งที่สังคมชาวยิวกลับเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการก่อประโยชน์และสร้างความเจริญให้ พวกเขาต้องการมอบวิทยาการและความก้าวหน้าแก่ชาวปาเลสไตน์ สังคมชาวยิวไม่ยอมรับความจริง 


เมื่อ มีการลุกฮือของชาวปาเลสไตน์ในปี 2000 ชาวยิวเกิดอาการ “ไม่ยอมรับความจริง” อีกเช่นกัน ไม่ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นเพราะชาวปาเลสไตน์สุดจะทนกับการยึดครองและถูกละเลย สิทธิอย่างรุนแรงนับแต่ปี 1967-2000


 เขาระบุว่า “สังคมชาวยิวในอิสราเอลปฏิเสธที่จะยอมรับกับความจริง และพอใจที่จะเพิกเฉยต่อพัฒนาการที่นำมาซึ่งการลุกฮือครั้งนั้น”
เขา ระบุว่า นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2000 อิสราเอลกลายเป็นรัฐทหาร “คุณสามารถเห็นได้จากเปอร์เซนต์ของนายพลที่ร่วมในรัฐบาล และความเป็นจริงก็คือว่า กองทัพได้เข้าไปตัดสินใจนโยบายหลักๆเกี่ยวกับชาวปาเลสไตน์ อย่างไรก็ตามสื่อ มักจะชี้ว่ากองทัพกำลังกลายเป็นเครื่องทางการเมืองให้กับนักการเมือง ความจริงที่เกิดขึ้น มันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง 


ภาวะ “การไม่ยอมรับความจริง “ ครั้งสำคัญ ซึ่งอิสราเอลกำลังค้นพบมันด้วยตนเองก็คือเหตุการณ์นับแต่เดือนเมษายน 2002 นับแต่นั้นมา ชาวปาเลสไตน์ต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้กฏอัยการศึก ขาดซึ่งอาหาร การสาธารณสุข และการสาธารณูปโภคพื้นฐาน 
ที่เลวร้ายที่สุด ก็คือพฤติกรรมของทหารอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ตามจุดตรวจต่างๆ 


 มันเกิดขึ้นเป็นประจำ แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ 
เขากล่าวถึงข่าวเหตุการณ์ที่ TV อิสราเอลช่องหนึ่งไปติดตามข่าวที่เกิดขึ้นที่จุดตรวจในวันหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ทหารยิวบังคับให้ชาวปาเลสไตน์เล่นเกมส์รัสเซี่ยนรูเลต ภาพ ดังกล่าวถูกนำเสนอทาง TV แน่นอนว่า TV ช่องดังกล่าวต้องถูกชาวบ้านต่อว่า แต่กลับไม่ใช่เรื่องที่ทหารยิวไปบังคับให้ชาวปาเลสไตน์เล่นเกมส์นั้น แต่กลับต่อว่า การกระทำดังกล่าว อาจเป็นการเปิดโอกาสให้ศัตรู(ที่กำลังถือปืนอยู่) 
ชาวยิว (ภาษาฮิบรู: ??????, ภาษาอังกฤษ: Jew) ชนชาติหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน อยู่ในประเทศอิสราเอล 


 
  ประวัติศาสตร์

                ตามคัมภีร์โตราห์ของศาสนายูดาย (คัมภีร์พระธรรมเดิม) ซึ่งเป็นคัมภีร์ศาสนาของชาวยิวหรือชาวฮิบรู กล่าวว่าประวัติศาสตร์ของชาวยิวและศาสนานี้เริ่มต้นที่ชายชื่อ อับราฮัม ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองคลาเดียบาบิโลน ณ ขณะนั้นเมืองสำคัญต่าง ๆ มีการนับถือรูปเคราพ และเทพเจ้าของตนเอง แต่อับราฮัมคิดว่าพระเจ้าที่แท้จริงจะมีเพียงพระองค์เดียว เขาได้พบพระเจ้า และพระองค์ทรงให้อับราฮัมและครอบครัวจึงได้ออกเดินทางไปยังแผ่นดินแห่งพันธ สัญญา ที่พระองค์จะประทานให้เขาและเชื้อสายของเขา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเชื้อชาติอิสราเอล และ ศาสนาใหม่ที่รู้ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้พระองค์เดียว                ไบเบิลและอัลกุรอานได้บอกเล่าเรื่องของ ชาวยิวหรือลูกหลานของอิสราเอล ซึ่งเป็นบุตรของยิตซ์ฮาก บุตรของอับราฮัม เริ่มจากอับราฮัมได้ลูกชายตามที่พระเจ้าทรงประทานให้ที่กำเนิดกับนางซาร่าชื่อว่าอิสอัคหรือ ไอเซ๊ค (Isaac) ซึ่งอิสอัคต่อมาได้มีบุตร ๒ คนคือ เอซาว และจาขอบ (Jacob ) โดยเฉพาะจาขอบผู้น้องได้พบชายคนหนึ่งที่เปนีเอล เขามองไม่เห็นใบหน้าแต่ปล้ำสู้จนเกือบรุ่งสาง และจาขอบได้ถามชื่อบุรุษผู้นั้นไม่ตอบ แต่เขาได้บอกว่าแต่นี้ต่อไปจาขอบจะได้ชื่อใหม่ว่าอิสราเอล ซึ่งหมายถึงผู้ที่ปล้ำสู้พระเจ้า และก่อนที่จาขอบจะปล่อยชายคนนั้นไปจาขอบบอกว่า"โปรดอวยพรให้เขาก่อนแล้วจึง จะปล่อย" ซึ่งจาขอบหรือจาขอบ หรือชื่อใหม่ว่าอิสราเอล เขามั่นใจว่าเขาพบพระเจ้าจริงๆ                เชื้อสายจาขอบหรืออิสราเอลมี ๑๒ คน หนึ่งในนั้นคือโยเซฟไปอยู่ที่อาณาจักรของชาวอียิปต์ แต่ต่อมาสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไป ลูกหลานของอิสราเอลได้ถูกกดขี่จนกระทั่งต้องกลายเป็นทาสรับใช้ถึง ๔๐๐ ปี ช่วงนั้นจะเรียกเชื้อสายอิสราเอลว่าฮีบรู จนกระทั่ง โมเสส (หรือโมเชซ์) ลูกชาวฮีบรูที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยฟาโรห์จนกลายเป็นเจ้าชายแห่งอียิปต์ ได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ปลดแอกชาวยิวในอียิปต์โดยให้พาชาวอิสราเอลหรือ ฮีบรู ออกเดินทางจากเมือง เพื่อกลับไปยังปาเลสไตน์แผ่นดินแห่งพันธสัญญา แม้จะถูกกองทัพแห่งอียิปต์ขัดขวาง แต่พระเจ้าได้เปิดทะเลแดงให้ชาวอิสราเอลผ่านไปได้ และกลับไหลท่วมทหารอียิปต์ที่ตามมาโจมตี จากนั้นระหว่างทางที่โมเสสพาชาวฮีบรูกลับไปยังแผ่นดินแดนของบรรพบุรุษ เขาไปพบกับพระเจ้าบนภูเขาไสไน (ซีนาย) และได้รับบัญญัติ ๑๐ ประการจาก พระเจ้า แต่เนื่องจากชาวอิสราเอลไม่ปฏิบัติตามกฏบัญญัติของพระเจ้า จึงถูกลงโทษให้หลงทางในทะเลทรายเป็นเวลา ๔๐ ปี หลังจากที่เดินทางกลับเข้าสู่คานาอันหรือดินแดนแห่งพันธสัญญาแล้ว โมเสสได้เสียชีวิตลง แต่ลูกหลานชาวฮีบรูก็ได้อาศัยอยู่ในเมืองคานาอันหรืออิสราเอลต่อมา
 
 
 
ชนชาติอิสราเอลได้ก่อสร้างชาติจากชนเผ่าเชื้อสายของจาขอบหรืออิสราเอล ทั้ง ๑๒ เผ่า ช่วงนั้นจะเรียกว่า เลวี เบนยามิน และยูดาห์ กษัตริย์เดวิดก็กำเนิดในชนเผ่านี้ ชนชาติฮิบรูในช่วงที่มีกษัตริย์ได้ตกเป็นทาสของบาบิโลน และเปอร์เซีย และหลังจากถูกจับเป็นเชลยอยู่หลายปีได้เดินทางกลับไปสร้างชาติอีกครั้ง จนมาถึงสมัยพันธสัญญาใหม่ กองทัพโรมมหาอำนาจของโลกได้เข้ายึดกรุงเยรูซาเล็ม ช่วงสุดท้ายก่อนอิสราเอลจะสิ้นชาติ พระคริสต์ได้ทรงประสูติ และบอกว่าพระองค์คือบุตรของพระเจ้า จนนำไปสู่การตรึงกางเขนโดยสาวกของพระเองค์ที่ชื่อยูดัส เอสคาริโอ คำว่ายิวน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่ายูดาสJudas

                ซึ่งในตอนนั้นก่อนที่ชนชาติอิสราเอลจะสิ้นชาติในปีคริสต์ศักราชที่ ๗๐ ชาวอิราเอล หรือ ฮีบรู ที่เชื่อในพระคริสต์จะถูกแยกออกจากชาวอิสราเอลที่นับถือลัทธิยูดาย และการประกาศพระกิติคุณพระเจ้าได้อนุญาตให้ชาวต่างชาติเชื่อในพระองค์ ซึ่งอิสราเอลในตอนนั้นเขาเชื่อว่าเขาคือชนชาติที่พระเจ้าเลือก และ รู้จักพระเจ้า ชาวต่างชาติเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งไม่สมควรที่จะรู้จักพระเจ้าผู้สร้างที่ยิ่ง ใหญ่ คำว่ายิวจึงน่าจะเริ่มมีการถูกเรียกกันในช่วงนั้น ซึ่งหมายถึงเป็นเชิงต่อต้านพวกอิสราเอลในด้านความเชื่อ สังคม และ อะไรหลายๆอย่าง เพราะในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้บันทึกหรือเขียนคำว่ายิวเลย นอกจากคำว่า พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล หรือ ชนชาติฮีบรู                หลังจากโรมเข้าถล่มเยรูซาเล็มจนพินาศแล้ว ชาวอิราเอลได้กระจัดกระจายไปสู่ในที่ต่างๆ ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ดาบจะไล่ตามหลังพวกยิว ส่วนดินแดนคานาอันแผ่นดินน้ำผึ้งและน้ำนมบริบรูณ์นี้จะแห้งแล้ง และถูกเปลี่ยนมือหลายครั้งไม่ว่า อาณาจักรโรม อาณาจักรคอนสแตนติน และกองทัพมุสลิมเข้ายึดครอง สงครามแย่งชิงแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะเป็นชาวยิว เช่น สงครามครูเสด ซึ่งแต่ละครั้งทำให้ชาวยิวได้ตกไปเป็นเชลย ต้องถูกฆ่า และต้องอพยพไปอยู่ในประเทศต่างๆ หลายประเทศ ทั้งในยุโรป เอเซีย และทวีปอเมริกา แต่ชาวยิวก็ยังยึดมั่นในพันธสัญญาระหว่างพวกเขาและพระเจ้า ที่ว่า พระเจ้าจะนำพวกเขากลับไปยังดินแดนที่พระเจ้าเลือกไว้ คือ                                      ชาวยิวในประวัติศาตร์ได้รับความทุกข์ทรมารจากสงครามมากมายหลายครั้ง ไม่ว่าจากกองทัพบาบิโลน เปอร์เซีย กองทัพโรม สงครามศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้งที่สำคัญและโลกไม่สามารถลืมความโหดร้ายได้คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยฮิตเลอร์และพรรคนาซี ซึ่ง ยิวถูกฆ่าไปทั้งหมด ประมาณ ๗ ล้านคน               ในที่สุดความพยายามของชาวยิวที่จะก่อตั้งรัฐอิสระ ก็ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอังกฤษซึ่งในตอนนั้นอังกฤษมีอิทธิพลในดินแดนปาเลสไตน์ อนุญาตให้ชาวยิวให้กลับเข้าไปในปาเลสไตน์อีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งก็คือประเทศอิสราเอลใน ปัจจุบัน พวกเขาได้ใช้ข้อความในพระคัมภีร์ มาอ้างความเป็นเจ้าของซึ่งชนพื้นเมืองที่มีอยู่ก่อนคือชาวปาเลสไตน์และชาว อาหรับในละแวกนั้นไม่เห็นด้วย จนเกิดความรุนแรงทุกรูปแบบในการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งแผ่นดินแห่งนี้               ที่น่าทึงคือพวกเขาก่อร่างสร้างเมือง เปลี่ยนทะเลทรายที่แห้งแล้งให้เป็นพื้นที่การเกษตรเขียวชะอุ่มตรงตามพระคำ ภีร์ไบเบิ้ลที่บอกว่าพวกเขาจะกลับมารวมชาติและทำให้ดินแดนนี้มีชีวิตอีก ครั้ง ทุกวันนี้หนุ่มสาวชาวอิสราเอล ต่อสู้เพื่อปกป้องและขยายดินแดนไปอาณาจักรที่อยู่ใกล้เคียงหลายต่อหลายครั้ง โดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา
 
 
แม้ในปัจจุบันก็ยังมีกรณีพิพาทในดินแดนฉนวนกาซ่าและเขตชายฝั่งตะวันตก (เวสแบงค์) ระหว่างชาวยิวและชาวอาหรับ ซึ่งสหประชาชาติล้มเหลวอย่างสมบูรณ์ ทุกวันนี้ก็ยังหาข้อยุติ หรือจะเห็นสันติภาพยังนับว่าห่างไกลเหลือเกิน

             ภาษาของชาวยิวคือภาษาฮิบรู และยังใช้เป็นภาษาในพิธีกรรมทางศาสนาของหมู่ชาวยิวตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในปัจจุบัน             อ้างอิง    ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช, ยิว. ISBN 974-9906-22-5    พระคริสตธรรมคำภีร์ ISBN 974-91972-7    Lost Gosple of Judas จากสารคดี National Geographic    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%
 



Credit : http://atcloud.com/stories/100030

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น